รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 | |
---|---|
หน้าแรกของรัฐธรรมนูญ | |
ข้อมูลทั่วไป | |
ผู้ตรา | รัฐบาลไทย |
ผู้ลงนาม | สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร |
วันลงนาม | 6 เมษายน 2560 |
ผู้ลงนามรับรอง | พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) |
วันลงนามรับรอง | 6 เมษายน 2560 |
วันประกาศ | 6 เมษายน 2560 |
วันเริ่มใช้ | 6 เมษายน 2560 |
ท้องที่ใช้ | ไทย |
การร่าง | |
ชื่อร่าง | ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย |
ผู้ยกร่าง | คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ |
การแก้ไขเพิ่มเติม | |
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2564 | |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง | |
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 และที่แก้ไขเพิ่มเติม |
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 20 มีที่มาจากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 ประกอบด้วยสมาชิก 21 คน มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ สมาชิก คสช. เป็นประธาน[1] เมื่อร่างเสร็จแล้ว มีการลงประชามติในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2559 ซึ่งผู้มาใช้สิทธิร้อยละ 61.35 เห็นชอบ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยและพระราชทานรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560 หลังมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติตามพระบรมราชวินิจฉัย จำนวนมาตราในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทั้งหมด 279 มาตรา มากเป็นอันดับที่ 3 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เนื่องจากกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาไทย ชุดที่ 12 จำนวน 250 คน ที่ทำหน้าที่ในช่วง 5 ปีแรก มาจากการแต่งตั้งหรือคัดเลือกโดย คสช. ทั้งหมด ทำให้ถูกมองว่าองค์กรอิสระถูกควบคุมโดย คสช. ในทางอ้อม นอกจากนี้ การรณรงค์ให้ความรู้และให้ลงมติคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญถูกปิดกั้น และคำถามพ่วงในประชามติมีความซับซ้อนเข้าใจยาก ซึ่งมีผลให้สมาชิกวุฒิสภามีอำนาจร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีได้เช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่วนเนื้อหาอื่น เช่น การแก้ไขให้ "สิทธิ" หลายประการของประชาชนกลายเป็น "หน้าที่" ของรัฐ ตลอดจนบทเฉพาะกาลที่รับรองบรรดาประกาศและคำสั่งของ คสช.
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกวิจารณ์และมีการเรียกร้องให้แก้ไขเพิ่มเติมอยู่หลายครั้ง แต่จนถึงปัจจุบันยังมีการแก้ไขเพิ่มเติมเพียงครั้งเดียวคือเพื่อเปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง ส่วนประเด็นยกเลิกวุฒิสภาจากการแต่งตั้งซึ่งเป็นข้อเรียกร้องสำคัญข้อหนึ่งของการประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563–2564 ไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา
ประวัติ
[แก้]คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
[แก้]วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เกิดรัฐประหาร โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะรัฐประหารมีคำสั่งยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ต่อมาในวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งกำหนดให้มี "คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ" (กรธ.) ประกอบด้วยสมาชิก 36 คน สรรหามาจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.), สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.), คณะรัฐมนตรี (ครม.), และ คสช. เพื่อร่างรัฐธรรมนูญถาวรฉบับใหม่ วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง กยร. ซึ่งมีบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน[2] ทั้งนี้การร่างรัฐธรรมนูญเป็นหนึ่งโรดแมปสำคัญของ คสช. ก่อนจะเปิดให้มีการเลือกตั้งครั้งถัดไป[3]
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ กยร. เดิมมี 315 มาตรา หลังจากได้รับข้อเสนอของ สปช. แล้ว กยร. ได้ปรับแก้เนื้อหาให้เหลือ 285 มาตรา[4] แต่ในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558 สปช. มีมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของ กยร.[5] ส่งผลให้ สปช. และ กยร. สิ้นสุดลงในวันนั้น
คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
[แก้]รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2558 กำหนดให้ คสช. แต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ขึ้นแทน กยร. ชุดเดิม[6] วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558 คสช. จึงแต่งตั้ง กรธ. โดยมีมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน[1]
สมาชิกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ มีดังนี้
|
|
|
กรธ. ชุดนี้พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561[7][8]
เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ
[แก้]บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดบทความว่าด้วย |
การเมืองไทย |
---|
สถานีย่อยประเทศไทย |
29 มกราคม พ.ศ. 2559 กรธ. ได้เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญเบื้องต้นผ่านเว็บไซต์ของรัฐสภา[9]
30 มีนาคม พ.ศ. 2559 หนังสือพิมพ์ สเตรดไทมส์ เขียนว่า ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวจะให้คณะผู้ยึดอำนาจการปกครองมีอำนาจในรัฐสภาอีกห้าปี โดยจะได้แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ทั้ง 250 คน โดยสงวนหกที่นั่งไว้ให้ผู้บัญชาการทหารและตำรวจ นอกจากนี้ ในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ ยังมีบทเฉพาะกาลให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกรัฐมนตรีที่มิได้มาจากการเลือกตั้ง[10]
10 เมษายน พ.ศ. 2559 หนังสือพิมพ์ ประชาไท ลงว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวตัดสิทธิของบุคคลได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ "อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ" แต่กำหนดให้เป็น "หน้าที่ของรัฐ"[11]
เนื้อหาในรัฐธรรมนูญชุดนี้ที่เปลี่ยนไป มีการตัดมาตรา 5 องค์กรแก้วิกฤต แก้ไขมาตรา 12 คุณสมบัติองคมนตรีที่ต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาตรา 15 อำนาจการแต่งตั้งและการให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่งขึ้นอยู่กับพระราชอัธยาศัย มาตรา 16 มาตรา 17 การตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ เมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร มาตรา 19 ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งเคยได้รับการแต่งตั้งและปฏิญาณตนมาแล้ว ไม่ต้องปฏิญาณตนที่รัฐสภาอีก และมาตรา 182 เกี่ยวกับเรื่องผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ[12] รวมทั้งการเพิ่ม มาตรา 65 ที่บัญญัติให้มีการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ[13]
การลงประชามติ
[แก้]26 มีนาคม พ.ศ. 2559 โฆษก กรธ. แถลงว่า กรธ. พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ต่อมาวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2559 สนช. พิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. .... วาระ 2 และ 3 ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีเนื้อหาห้ามรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ[14] 9 เมษายน พ.ศ. 2559 สนช. เห็นชอบเป็นเอกฉันท์ให้เพิ่มคำถามประชามติให้สมาชิกวุฒิสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีอำนาจลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่[15]
19 เมษายน พ.ศ. 2559 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เป็นวันออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ[16]
เห็นชอบ : 61.35 (16,820,402) |
ไม่เห็นชอบ : 38.65 (10,598,037) | ||
▲ |
เห็นชอบ : 58.07 (15,132,050) |
ไม่เห็นชอบ : 41.93 (10,926,648) | ||
▲ |
7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ในการออกเสียงประชามติ ผลปรากฏว่า ร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงเรื่องอำนาจลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีของสมาชิกวุฒิสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนข้างมากของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง จากนั้น กรธ. นำร่างรัฐธรรมนูญไปปรับปรุงในบางมาตราและในบทเฉพาะกาลเพื่อให้เข้ากับคำถามพ่วงเป็นเวลา 30 วัน หลังจากนั้น ส่งร่างคืนนายกรัฐมนตรีให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ดี มีการวิเคราะห์ว่าเหตุที่ร่างรัฐธรรมนูญนี้ผ่านประชามติเป็นเพราะแนวคิด "รับไปก่อน จะได้เลือกตั้ง" รวมทั้งมีการจับกุมและดำเนินคดีต่อผู้รณรงค์ให้ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญหลายกรณี[17]
"ข้อสังเกตพระราชทาน" และการประกาศใช้
[แก้]วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับพระราชอาสน์หน้าพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์เพื่อลงพระปรมาภิไธยในร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ฉบับที่ 20 และประทับตราพระราชลัญจกร นับเป็นพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญและรัฐพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญในรอบ 48 ปี 9 เดือน 2 สัปดาห์ 3 วัน[18]นับตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 ที่มีรัฐพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 ฉบับที่ 8
อนึ่ง ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 นั้น ได้ทรงมอบ "ข้อสังเกตพระราชทาน" และให้รัฐบาลแก้ไขให้เป็นไปตามข้อสังเกตดังกล่าว[19] ได้แก่ มาตรา 5, 17 และ 182[20] ใจความสำคัญคือ 1) ตัดข้อความที่ให้ศาลรัฐธรรมนูญเรียกประชุมประมุขสามอำนาจเพื่อแก้ไขวิกฤตการเมือง, 2) พระมหากษัตริย์ไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และ 3) ผู้รับสนองกฎหมาย พระบรมราชโองการและประกาศพ้นจากความรับผิดชอบ[21] เป็นการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญตามพระราชประสงค์หลังจากมีประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญแล้ว
ข้อวิจารณ์
[แก้]ไทเรล ฮาเบอร์คอร์น จากภาควิชาการเมืองและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ซึ่งมีผลงานเขียนเกี่ยวกับประเทศไทยในหลายประเด็น วิจารณ์เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญชุดนี้ในทำนองว่า "ทำให้ทหารมีที่ยืนอย่างถาวรในรัฐบาล เพื่อให้การแทรกแซงกลายเป็นเรื่องปกติ"[22] รวมไปถึง ส.ว. มาจากการคัดเลือกของ คสช. และมีวาระ 5 ปี ซึ่งนานกว่าชุดอื่น ทั้งยังมีอำนาจร่วมออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจกำกับดูแลให้รัฐบาลชุดใหม่ต้องทำตามยุทธศาสตร์ที่ คสช. จัดทำขึ้น[23] สวนดุสิตโพลเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน 1,164 คน ระหว่างวันที่ 6-9 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้ใหม่ โดยส่วนใหญ่มองว่า เป็นฉบับปราบโกง เน้นป้องกันทุจริต แต่จุดอ่อนเป็นการสืบทอดอำนาจของ คสช.[24]
ระบบการเลือกตั้งแบบใหม่
[แก้]รัฐธรรมนูญดังกล่าวกำหนดการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นแบบจัดสรรปันส่วนผสม บัตรเลือกตั้งสามารถเลือกได้เพียงตัวเลือกเดียวเพื่อเลือกทั้งผู้สมัครและพรรคการเมือง มีการแถลงความมุ่งหมายของระบบดังกล่าวไว้ว่า เพื่อให้พรรคการเมืองส่งผู้สมัครที่ดีที่สุด ไม่ใช่ส่ง "เสาโทรเลข" อย่างไรก็ตาม ความมุ่งหมายแฝงเร้น คือ ป้องกันพรรคการเมืองขนาดใหญ่เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 จึงเกิดยุทธศาสตร์ "พรรคแบงก์ย่อย" ซึ่งพรรคการเมืองพันธมิตรของทักษิณ ชินวัตร มีการตั้งพรรคการเมืองหลายพรรคแล้วส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อแยกกัน[25] นอกจากนี้ ยังมีปรากฏการณ์ครึกโครมที่พรรคพลังประชารัฐดึงตัวผู้สมัครในช่วงปี พ.ศ. 2561[26]
นอกจากนี้ แม้รัฐธรรมนูญกำหนดให้พรรคการเมืองเปิดเผยชื่อบุคคลที่จะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 88 แต่มาตรา 272 เปิดช่องให้รัฐสภาพิจารณาบุคคลนอกบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอมาได้ อีกทั้ง ส.ว. ชุดแรกซึ่งมีวาระ 5 ปียังมีอำนาจลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 272 ได้ หมายความว่า ส.ว. ดังกล่าวจะมีอำนาจลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีได้ 2 คน (หากคิดวาระคนละ 4 ปี)[26]
กฎหมายไม่ได้กำหนดสูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อที่ชัดเจน แต่ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 คณะกรรมการการเลือกตั้งเลือกตีความให้พรรคเล็กได้ประโยชน์ และพรรคอนาคตใหม่เสียประโยชน์[27] ทั้งที่พรรคเล็กเหล่านั้นเสียงไม่ถึงคะแนนขั้นต่ำที่ได้รับจัดสรร ส.ส. พึงมี[28] ในปี 2565 รัฐสภามีมติให้ใช้ระบบคะแนนที่พรรคการเมืองได้รับทั้งประเทศหาร 500 (ซึ่งอาจทำให้เกิดเหตุการณ์การตีความแบบในปี 2562) ทำให้พรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่[29]
ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
[แก้]เนื้อหา
[แก้]เนื้อหาโดยย่อของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้รายละเอียดนั้น ให้รายละเอียดไว้ว่า[30] ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) เป็นกรอบนโยบายหลักที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศไทยในระยะยาว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย ยุทธศาสตร์ชาตินี้มีลักษณะเป็นแผนที่ครอบคลุมหลากหลายด้าน ซึ่งจะบังคับใช้เป็นระยะเวลายาวนานถึง 20 ปี เพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในอนาคต
ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีถูกแบ่งออกเป็น 6 ด้านหลัก ซึ่งแต่ละด้านมีเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาที่ชัดเจน ดังนี้:
- ความมั่นคง (Security): มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในทุกมิติ ทั้งด้านการทหาร เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศมีเสถียรภาพและสามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาด้านนี้ยังครอบคลุมถึงการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงร่วมกัน
- การสร้างความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness Enhancement): มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก โดยการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการสร้างนวัตกรรม การยกระดับภาคอุตสาหกรรมและบริการ การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาทักษะและความสามารถของแรงงาน รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมธุรกิจและการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ
- การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development and Strengthening): มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและศักยภาพของประชากรไทยให้มีความพร้อมในการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล การศึกษา การฝึกอบรม และการสร้างโอกาสในการพัฒนาทักษะเป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้ประชากรมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดแรงงานโลก
- การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม (Social Equality and Opportunities Creation): มีเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมที่มีความเสมอภาคและเป็นธรรม ลดช่องว่างระหว่างชนชั้น และเสริมสร้างโอกาสให้กับกลุ่มคนที่ด้อยโอกาส การพัฒนาด้านนี้รวมถึงการส่งเสริมการเข้าถึงบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ การสร้างโอกาสทางการศึกษาและการทำงานให้กับกลุ่มคนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล การพัฒนาสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาสังคม
- การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental-Friendly Growth for Quality of Life): มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในลักษณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาด้านนี้รวมถึงการส่งเสริมการใช้พลังงานที่ยั่งยืน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเมือง และการส่งเสริมวิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ (Government Administration Rebalancing and Development): มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใส การพัฒนาด้านนี้รวมถึงการปฏิรูประบบราชการ การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการสาธารณะ การส่งเสริมความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบการดำเนินงานของภาครัฐ
นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนจะช่วยให้การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
ในทางปฏิบัติ การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จะถูกกำกับดูแลและประเมินผลโดยหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะมีการจัดทำรายงานความก้าวหน้าและการประเมินผลเป็นระยะ เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายและสามารถปรับปรุงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที
ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นแผนการพัฒนาที่ยาวนานและครอบคลุมหลายด้าน ซึ่งต้องการความร่วมมือและความตั้งใจจริงจากทุกภาคส่วนของสังคมในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนในอนาคต
ข้อวิจารณ์
[แก้]แม้จะมีความตั้งใจดีในการกำหนดแนวทางการพัฒนาประเทศในระยะยาว ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ผูกมัดให้รัฐบาลในอนาคตต้องปฏิบัติตามแนวทางที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) วางไว้ ส่งผลให้เกิดระบอบการปกครองที่เรียกว่า 'ประชาธิปไตยที่มีกองทัพชี้นำ' รวมทั้งลดทอนบทบาทของนักการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่น[31] การนี้ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจอีกด้วย งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พบว่า ตัวยุทธศาสตร์ชาติมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาความไม่ต่อเนื่องของนโยบายของรัฐที่เกิดจากความไร้เสถียรภาพทางการเมือง แต่การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าวเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด เนื่องจากปัญหาทางการเมืองไทยล้วนเกิดจากการแทรกแซงจากกองทัพและชนชั้นนำ[32]
นอกจากนี้ยังมีการแสดงให้เห็นถึงความฟุ่มเฟือยและความไร้ประสิทธิภาพในหลาย ๆ ด้าน
- ความฟุ่มเฟือยในการกำหนดเป้าหมาย: เอกสารนี้กำหนดเป้าหมายที่ดูฟุ้งเฟ้อและยิ่งใหญ่เกินจริง ซึ่งบางครั้งดูเหมือนจะเป็นการตั้งเป้าหมายที่ไม่สามารถบรรลุได้ในทางปฏิบัติ การกำหนดเป้าหมายที่ใหญ่เกินไปและไม่สมเหตุสมผล ทำให้ขาดความชัดเจนและการประเมินความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
- ความไร้ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน: การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีพบว่ามีปัญหาในการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น ไอลอว์รายงานว่า สำหรับแผนยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2565 พบว่ามีกฎหมายปฏิรูปประกาศใช้แล้วเพียง 2 ฉบับจากเป้าหมาย 45 ฉบับ นอกจากนี้ยังมีบางแผนปฏิรูปที่กำหนดเป้าหมายให้บรรลุตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงาน การขาดความคืบหน้าและประสิทธิภาพในการดำเนินงานทำให้แผนนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงแผนการที่ไม่สามารถบรรลุได้จริง
- การฟุ้งเฟ้อในเนื้อหา: เอกสารนี้เต็มไปด้วยแนวคิดและวัตถุประสงค์ที่ดูเหมือนจะเป็นไปในทางที่ดี แต่ขาดรายละเอียดและวิธีการดำเนินงานที่ชัดเจน แนวคิดที่ฟุ้งเฟ้อและไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ทำให้แผนนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงเอกสารที่เต็มไปด้วยความฝันและความหวัง แต่ขาดการวางแผนที่เป็นระบบและมีความเป็นไปได้
- การขาดการประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ: แม้ว่าเอกสารนี้จะมีการกำหนดการประเมินผลและการติดตามความคืบหน้า แต่การดำเนินงานจริงกลับขาดการประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ การประเมินผลที่ไม่เข้มงวดและไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ทำให้ขาดการปรับปรุงและการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการดำเนินงาน
- การใช้งบประมาณอย่างฟุ่มเฟือย: การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งในหลายๆ กรณีเป็นการใช้งบประมาณอย่างฟุ่มเฟือย โดยไม่มีการวางแผนการใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ การใช้งบประมาณในโครงการที่ไม่สามารถบรรลุผลได้จริง ทำให้ทรัพยากรถูกใช้ไปอย่างไม่เกิดประโยชน์สูงสุด
ไอลอว์รายงานว่า สำหรับแผนยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2565 พบว่ามีกฎหมายปฏิรูปประกาศใช้แล้วเพียง 2 ฉบับจากเป้าหมาย 45 ฉบับ รวมทั้งมีบางแผนปฏิรูปที่กำหนดเป้าหมายให้บรรลุตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงาน[33]
วุฒิสภา
[แก้]วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารทั้งหมด อีกทั้งมีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี ทำให้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นเครื่องมือสำหรับสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ[34] ไอลอว์ยังรายงานว่าสมาชิกวุฒิสภามีการแต่งตั้งญาติของตัวเองเข้ามาเป็นคณะทำงาน และออกเสียงร่างกฎหมายไปในทิศทางเดียวกันถึงร้อยละ 98[35]
มีการเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อยกเลิกวุฒิสภาจากการแต่งตั้ง เหลือเป็นสภาเดี่ยว ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องสำคัญข้อหนึ่งของการประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563–2564
ในปี 2562 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณให้สัมภาษณ์ว่า มั่นใจว่าจะควบคุม ส.ว. ได้เพราะตั้งมาเอง[36] และในปี 2565 ส.ส. พรรคพลังประชารัฐให้สัมภาษณ์ว่า เชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐจะยังเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไป เพราะมี ส.ว. สนับสนุน[37]
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
[แก้]การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นข้อเรียกร้องของผู้ประท้วงในการประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563–2564 ตั้งต่อข้อเรียกร้องสามประการที่เสนอต่อรัฐบาลในวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 มีการเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจำนวน 6 ญัตติทั้งจากพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคร่วมฝ่ายค้าน มีการอภิปรายร่วมของรัฐสภาและลงมติในวันที่ 24 กันยายน 2563 ในวันดังกล่าว รัฐสภามีมติตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ อันเป็นผลให้เลื่อนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญออกไปอย่างน้อย 1 เดือน[38] หลังจากนั้นมีการลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญในวาระหนึ่ง ซึ่งเป็นร่างของพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งจะไม่แก้ไขรัฐธรรมูญหมวด 1 และหมวด 2 และไม่ยุ่งเกี่ยวกับอำนาจของสมาชิกวุฒิสภาในการร่วมเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี ส่วนร่างที่ไอลอว์รวบรวมรายชื่อกว่า 1 แสนรายชื่อถูกตีตก
"ขออวยพรให้ท่านอายุยืนเพียงพอที่จะเห็นความพยายามของท่านล่มสลายไม่มีชิ้นดี เห็นความต้องการของท่านถูกบดขยี้ด้วยกงล้อของเวลาที่เดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และได้มีโอกาสรับรู้ด้วยตา ด้วยหู ของท่านเอง ว่าผู้คนและยุคสมัยจะตราหน้าพวกท่าน ว่าอย่างไรไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติเรา" |
—พิธา ลิ้มเจริญรัตน์[39] |
ในเดือนมีนาคม 2564 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องผ่านการลงประชามติ 2 ครั้ง เพื่อให้ความเห็นชอบว่าจะให้มีการแก้ไข และให้ความเห็นชอบต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่เสนอ[40] หลังจากนั้น รัฐสภาลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญในวาระสาม (ซึ่งมีเรื่องการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ)[41]
รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 1
[แก้]ในวันที่ 24 มิถุนายน 2564 รัฐสภาลงมติรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเฉพาะของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะแก้ไขเรื่องบัตรเลือกตั้งจากใบเดียวเป็นสองใบเท่านั้น โดยไม่สนใจได้แก้ไขเรื่องอำนาจของสมาชิกวุฒิสภา ก่อนหน้านี้ ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ไม่บรรจุร่างรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยที่มีเนื้อหาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยอ้างว่าศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยเรื่องนี้ไว้แล้ว[42]
ในเดือนกันยายน 2564 รัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอีกครั้ง และได้รับร่างแก้ไขเพิ่มเติมที่เสนอโดยพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะกลับมาใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ, สัดส่วน สส. แบ่งเขต 400 คน กับ สส. บัญชีรายชื่อ 100 คน, และใช้สูตรเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญปี 2540 อีกครั้ง และผ่านวาระ 3 เมื่อวันที่ 10 กันยายน ทั้งนี้พรรคก้าวไกลกับภูมิใจไทยงดออกเสียง พรรคพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ และเพื่อไทย ลงมติเห็นชอบ เช่นเดียวกับสมาชิกวุฒิสภาเกินกึ่งหนึ่ง[43]
ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในชื่อ "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2564" ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต 400 คนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน และให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แทนใบเดียวที่เคยใช้ในการเลือกตั้งปี 2562 โดยสมาชิกวุฒิสภาลงมติเห็นชอบ 149 เสียง หรือคิดเป็นร้อยละ 60 ของจำนวนสมาชิกวุฒิสภา[44] นักวิชาการมองว่าระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบจะเป็นระบบที่ทำให้พรรคใหญ่ได้เปรียบโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย อาจเห็นพรรคเล็กย้ายไปอยู่รวมกับพรรคใหญ่ และพรรคพลังประชารัฐจะเผชิญกับปัญหาการต่อรองผลประโยชน์เพื่อรักษาเอกภาพของพรรค[45]
ความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับถัดไป
[แก้]ในเดือนเดียวกันยังมีการรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอีกครั้งโดยกลุ่ม Re-Solution นำโดยพริษฐ์ วัชรสินธุ จากกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า และปิยบุตร แสงกนกกุล จากคณะก้าวหน้า มีเนื้อหาตัดอำนาจของสมาชิกวุฒิสภาแล้วโอนให้มาเป็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งให้ยกเลิกวุฒิสภากลับมาใช้ระบบสภาเดี่ยว แต่รัฐสภาลงมติคัดค้านร่างดังกล่าวตั้งแต่วาระแรก[46]
ในปี 2565 ปิยบุตรเป็นแกนนำในการรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อให้กระจายอำนาจมากขึ้น[47]
ในเดือนกันยายน 2565 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4 ร่าง ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสิทธิบุคคลและชุมชน สิทธิและเสรีภาพของประชาชน คุณสมบัติ ที่มาของนายกรัฐมนตรี และการตัดอำนาจของสมาชิกวุฒิสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี ไม่ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภา เนื่องจากถึงแม้จะได้รับเสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา แต่เสียงเห็นชอบของสมาชิกวุฒิสภาไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด[48]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ (ธันวาคม 2023) |
ปัญหาสืบเนื่อง
[แก้]รัฐธรรมนูญกำหนดห้ามบุคคลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรวมกันเกิน 8 ปี แต่เรื่องการนับวาระของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดปัญหาขึ้นว่าจะนับแบบใด เนื่องจากต่างฝ่ายต่างตีความกันไปคนละแบบ จนเกิดปัญหาข้อกฎหมายในปี 2565[49] ด้านทักษิณ ชินวัตร เชื่อว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญเขียนขึ้นมาเพื่อต้องการกีดกันเขาคนเดียว[50]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ, ราชกิจจานุเบกษา, สืบค้นวันที่ 6 ตุลาคม 2558
- ↑ ประกาศสภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ, ราชกิจจานุเบกษา, สืบค้นวันที่ 30 มกราคม 2559
- ↑ "โรดแมป คสช. อีกไกลแค่ไหนกว่าจะได้เลือกตั้ง?". workpointTODAY. สืบค้นเมื่อ 22 May 2022.
- ↑
ดู:
- ร่างรัฐธรรมนูญ (ฉบับส่งให้สภาปฏิรูปแห่งชาติศึกษา และเปิดอภิปราย) , รัฐสภา, สืบค้นวันที่ 6 กันยายน 2558
- ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ล่าสุด (ฉบับเสนอสภาปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อลงมติ), รัฐสภา, สืบค้นวันที่ 6 กันยายน 2558
- ↑ มติ "สปช." 135 เสียงคว่ำร่างรธน. - ยุบ กมธ.ชุด "บวรศักดิ์", ข่าวสด, 6 ตุลาคม 2558
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2558, เล่ม 132, ตอนที่ 64 ก, หน้า 1. [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ: 12 ธันวาคม 2559
- ↑ ""มีชัย"เปิดใจหลังยุบ กรธ.พ้นตำแหน่ง". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-09-19. สืบค้นเมื่อ 2018-09-18.
- ↑ เปิดใจภารกิจสุดท้ายมือกฎหมาย มีชัย ฤชุพันธุ์
- ↑ เนื้อหาสาระร่างรัฐธรรมนูญ (ฉบับปราบโกง) เบื้องต้น 270 มาตรา, ไทยรัฐ, สืบค้นวันที่ 30 มกราคม 2559
- ↑ Thailand's new draft Constitution unveiled. The Strait Times.
- ↑ ร่างรัฐธรรมนูญ 2559: ตัดข้อความ “สิทธิเสมอกัน” ในการรับบริการสาธารณสุข “ที่ได้มาตรฐาน”
- ↑ รัฐธรรมนูญ 2560 แก้ 8 มาตราจากร่างฯประชามติ-ตัดองค์กรแก้วิกฤต-เพิ่มส.ว.ร่วมเลือกนายกฯ
- ↑ อภิชาติ คุณวัฒน์บัณฑิต.“ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติของประเทศไทย.” วิทยานิพนธ์ศิลปศาตรมหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2561.[ลิงก์เสีย]
- ↑ สนช.ลงมติผ่านร่าง พ.ร.บ.ประชามติ รุมค้าน ก.ม.ห้ามชวนโหวตโน ละเมิดสิทธิ์ปชช. ไทยรัฐ
- ↑ สนช.เคาะตั้งคำถามพ่วงประชามติให้รัฐสภาฯโหวตเลือกนายกฯ โพสต์ทูเดย์.
- ↑ ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง กำหนดวันออกเสียงประชามติ ราชกิจจานุเบกษา.
- ↑ ""รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" VS "รัฐธรรมนูญฉบับเยาวชนไม่ได้เลือก"". BBC ไทย. สืบค้นเมื่อ 24 April 2022.
- ↑ พิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญ ธรรมเนียมปฏิบัติ 3 รัชกาล
- ↑ รัฐบาลแก้ไข รธน. ตามข้อสังเกตพระราชทานเสร็จแล้ว
- ↑ 5-17-182 รธน.ใหม่ ก่อนนายกฯสั่งแก้ให้เป็นไปตามพระราชกระแสรับสั่ง
- ↑ First Look at Major Changes to the New Thai Constitution
- ↑ รัฐธรรมนูญใหม่ กับ ความไม่แน่นอนใหม่
- ↑ 7 เรื่องต้องรู้: อ่าน “รัฐธรรมนูญ 2560” ฉบับเร่งรัด
- ↑ โพลชี้รธน.ปี60เป็นฉบับปราบโกง แต่มองจุดอ่อนสืบทอดอำนาจ
- ↑ สุเทพ แฉกลยุทธ์ทักษิณ แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย หวั่นเพื่อไทยได้ ส.ส.เกิน 300
- ↑ 26.0 26.1 2 ปีประกาศใช้ รธน. : สำรวจสิ่งที่ กรธ. คิด กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสนามเลือกตั้ง 2562
- ↑ "กกต.ร่อนเอกสาร แจง ผลคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ ยึดสูตร 25พรรคได้ส.ส. มีพรรคเล็กได้ที่นั่งเพียบ". มติชน. 2019-04-05. สืบค้นเมื่อ 2019-04-06.
- ↑ Pravit Rojanaphruk (April 8, 2019). "Doubts over Election Commission's Party List Allocations Grow". ข่าวสด. สืบค้นเมื่อ 2020-06-02.
- ↑ "เปิดมติรัฐสภา ใครหนุน-ใครต้าน สูตรปาร์ตี้ลิสต์หาร 100". BBC News ไทย. สืบค้นเมื่อ 9 July 2022.
- ↑ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พ.ศ. 2561-2580 (ฉบับย่อ) (PDF). ประเทศไทย: สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. 2018.
- ↑ Montesano, Michael J. (2019). "The Place of the Provinces in Thailand's Twenty-Year National Strategy: Toward Community Democracy in a Commercial Nation?" (PDF). ISEAS Perspective. 2019 (60): 1–11. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 13 September 2020. สืบค้นเมื่อ 23 August 2020.
- ↑ อภิชาติ คุณวัฒน์บัณฑิต. ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติของประเทศไทย.[ลิงก์เสีย] วิทยานิพนธ์ศิลปศาตรมหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2561.
- ↑ "นับถอยหลังแผนการปฏิรูปประเทศต้องเห็นผลสิ้นปี 65 แต่ยังไม่บรรลุเป้า ตั้งเกณฑ์ง่าย ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง". iLaw. สืบค้นเมื่อ 5 September 2022.
- ↑ "รวมข้อมูล 250 ส.ว. แต่งตั้ง : กลไกหลักสืบทอดอำนาจจากยุค คสช". ilaw. สืบค้นเมื่อ 23 June 2022.
- ↑ "เปิดชื่อ ส.ว. แต่งตั้งญาติเป็นผู้ช่วย 50 คน รับเงินเดือนหลักหมื่น พบทหาร คนใกล้ชิด คสช. อีกกว่าครึ่งพัน". ilaw. สืบค้นเมื่อ 23 June 2022.
- ↑ "'ประวิตร' ลั่น ส.ว. ตั้งมาก็ต้องคุมได้ ปัดเปิดรายชื่อ ยันไม่มีคนใกล้ชิด". THE STANDARD. 13 March 2019. สืบค้นเมื่อ 3 October 2022.
- ↑ "พปชร.แก้เกมเล็งเสนอแคนดิเดตนายกฯ 3 คนชูชื่อ 'ลุงป้อม' ชิงเก้าอี้นายกฯ". ไทยโพสต์. 1 October 2022. สืบค้นเมื่อ 3 October 2022.
- ↑ "รัฐสภายืด "เปิดสวิตช์แก้ รธน."". BBC ไทย. สืบค้นเมื่อ 25 September 2020.
- ↑ ""พิธา" ปลุกปิดสวิตช์ ส.ว.รื้อระบอบ "บิ๊กตู่" ชี้ นักการเมืองแค่เด็กขี่ม้า เจ้าของสั่งได้ทุกเมื่อ". ผู้จัดการ (ภาษาอังกฤษ). 24 June 2021. สืบค้นเมื่อ 25 June 2021.
- ↑ "ศาลรัฐธรรมนูญชี้สภามีอำนาจร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ต้องทำประชามติ". BBC ไทย. สืบค้นเมื่อ 25 June 2021.
- ↑ "มติรัฐสภาโหวตคว่ำร่างแก้ไข รธน. วาระ 3". BBC ไทย. สืบค้นเมื่อ 25 June 2021.
- ↑ "รัฐสภาโหวตรับร่างเดียว จาก 13 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ". BBC ไทย. สืบค้นเมื่อ 25 June 2021.
- ↑ "รัฐธรรมนูญ วาระ 3 "ผ่านฉลุย" ส.ว. ทหารสาย 3 ป. ไม่แตกแถว". ประชาชาติธุรกิจ. 10 September 2021. สืบค้นเมื่อ 11 September 2021.
- ↑ "รัฐสภาผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ให้กลับไปใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ". BBC News ไทย. สืบค้นเมื่อ 9 July 2022.
- ↑ "การเมืองบัตร2ใบ หลังแก้รัฐธรรมนูญ". มติชนออนไลน์. 10 October 2021. สืบค้นเมื่อ 9 July 2022.
- ↑ "สรุปความเคลื่อนไหวศึกแก้รัฐธรรมนูญไตรภาคตลอดปี 2564". iLaw. สืบค้นเมื่อ 24 April 2022.
- ↑ ""ปลดล็อกท้องถิ่น" ทะลุ 5 หมื่นชื่อ! "ปิยบุตร" เชื่อพรรค-ส.ว.หนุนกระจายอำนาจ". กรุงเทพธุรกิจ. 7 June 2022. สืบค้นเมื่อ 23 June 2022.
- ↑ "มติรัฐสภา คว่ำ 4 ร่างแก้รธน.เปิดทางส.ว.เลือกนายกฯต่อ". สยามรัฐ. 7 September 2022. สืบค้นเมื่อ 7 September 2022.
- ↑ "Prayuth Chan-ocha: Thai court suspends PM and coup leader". BBC News. 24 August 2022. สืบค้นเมื่อ 26 August 2022.
- ↑ "นายกฯ 8 ปีไม่ต้องให้ศาลตีความ แนะ "ประยุทธ์" ออกตามกฎกติกาเท่กว่าเยอะ". ไทยรัฐ. 17 August 2022. สืบค้นเมื่อ 5 September 2022.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- "ประชุมสภา: กติกาเลือกตั้งใหม่ ใช้สูตร "หาร 500" ได้ระบบเลือกตั้ง MMA ฉบับดัดแปลง". iLaw. 7 September 2020. สืบค้นเมื่อ 9 July 2022.
ก่อนหน้า | รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) (22 กรกฎาคม 2557 - 6 เมษายน 2560) |
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (6 เมษายน พ.ศ. 2560 – ปัจจุบัน) |
ยังไม่มี |