ถ้าบอกว่าการแสดงพีพีในซองแดงเป็นหลุม ผมจะโดนรุมสะกรัมมั้ยครับ
.
ถ้าบอกว่าการแสดงพีพีในซองแดงเป็นหลุม ผมจะโดนรุมสะกรัมมั้ยครับ
.
คุณเคยเห็นอิสลามร้องไห้เพราะหนังเจ๊กมั้ยครับ
10/10 โดยมุสซี่ครับ
แมนสรวง (ชาติชาย เกษนัส, ผศ.ดร.พันพัสสา ธูปเทียน, กฤษดา วิทยาขจรเดช/2023)
“ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ”
นับตั้งแต่ความสำเร็จของ “บุพเพสันนิวาส2” ในฐานะหนังพีเรียดไทยที่มีฐานแฟนคลับอย่างล้นหลาม คาดการณ์ได้เลยว่า “แมนสรวง” จะประสบผลสำเร็จที่ไม่ต่างกัน จากทั้งกลุ่มแฟนคลับของนักแสดงเป็นทุนเดิม และหน้าหนังที่มีProduction Valueเชื้อชวนให้ดู ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้กำกับอย่างแน็ต-ชาติชาย เกษนัส ผู้ที่เคยฝากผลงานความปราณีตผ่านความสนใจและการรีเสิร์ชด้านสังคม ประวัติศาสตร์ การเมือง ผ่าน “จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี” จึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความโดดเด่นมากเกินกว่าจะเป็นหนังวายหรือหนังBLเสียอีก(สิ่งนี้จะพูดต่ออีกตอนท้าย) ทว่าในเวลา2ชั่วโมงของหนังอาจจะไม่พอสำหรับเรื่องนี้
การเล่นท่ายากของแมนสรวงคือสร้างบทที่มีความทะเยอทะยานในการเป็นหนังสายลับ-การเมือง-สืบสวนในคราบของหนังพีเรียด ช่วงที่การบ้านการเมืองมีความระส่ำระส่าย(ช่วงปลายร.3) ทำให้นึกถึงวรรณกรรมอย่าง “นิทานทองอิน” พระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่6 ผสมกับงานอกาธาร์ คริสตี้ และเชอร์ล็อค โฮล์ม แต่เพิ่มความเข้มข้นด้วยการเมืองชิงอำนาจ แบ่งฝักฝ่าย ที่เข้ากับเหตุบ้านการเมืองของไทยปัจจุบันอย่างบังเอิญเหมาะเจาะ และทำออกมาชวนติดตามแม้อาจต้องมองข้ามบางอย่างหรือใช้suspension of disbelief (การต้องละวางความไม่เชื่อ)อยู่บ้าง แต่บทถูกรีเสิร์ชและเซ็ทอัพโลกให้เราคล้อยตามไปอย่างเพลิดเพลิน จุดที่น่าชื่นชมคือบทรู้ว่าควรเน้นหนักไปทางใด เกลี่ยน้ำหนักของเนื้อเรื่องและความสัมพันธ์อยู่ในจุดที่พอดี ทั้งความสัมพันธ์ทางชนชั้นและความสัมพันธ์ของตัวละคร ที่ไม่ได้ขับเน้นให้ออกมาโรแมนติก ซึ่งออกมาในเชิงมิตรภาพแบบBromanceซึ่งเป็นมิตรกับหนังและผู้ชมอื่นๆ(อีกทั้งการสร้างโมเม้นในจินตนาการน่าจะสนุกกว่าการยัดเซอร์วิสโต้งๆอยู่แล้ว) มีจุดที่ติดเกี่ยวกับบทคือน่าเสียดายที่เส้นเรื่องมากมายถูกบังคับให้ลงอยู่ในเวลา2ชั่วโมงจนไม่สามารถเล่าหลายอย่างเกี่ยวกับแมนสรวงได้อย่างเต็มที่ ทั้งพื้นหลังตัวละครและอื่นจนทำให้เกิดความไม่น่าเชื่อขึ้นเพราะน้ำหนักการเล่าไม่พอ รวมถึงความไม่สมูทในตัวเรื่องที่เหมือนนำก้อนพล็อตมาต่อๆกัน ไม่ได้มีอะไรที่เป็นทรานสิชั่นเชื่อมให้ราบรื่น จังหวะจะโคนจึงเร่งรีบมาก แต่การกำกับและการแสดงรวมถึงโปรดักชั่นแวลยู่อื่นๆก็ชักนำและช่วยพยุงไป
โดยเฉพาะเรื่องของการแสดง ที่ขนบุคลากรทางการละครมาอย่างคับคั่ง เรียกว่ารุ่นใหญ่ต่างระเบิดพลังอย่างถล่มทลายเหมือนคืนกำไรหลังจากเคี่ยวกรำฝีมือและประสบการณ์มานานนับปี แต่ไม่ได้มีโอกาสได้แสดงในภาพยนตร์ให้ผู้ชมวงกว้างได้ชมเสียที เห็นที่จะไม่ชมไม่ได้คือคุณคานธี วสุวิชย์กิตที่โดดเด่น และสร้างความน่าเกรงขามทุกฉากที่ออกมาโดยแทบไม่ต้องพูดอะไรมาก ในส่วนนักแสดงรุ่นใหม่4คนนั้นที่โดดเด่นและพอจะจูนเข้ากับรุ่นใหญ่ได้มากสุดคงจะเป็นอาโป - ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ ที่แบกบทนำของเรื่องได้อย่างดี อีกคนที่เห็นว่าน่าสนใจและไปต่อได้อีกคือ บาส - อัศวภัทร์ ผลพิบูลย์ ที่สามารถส่งมอบการแสดงได้อย่างดีในตัวบทที่มีความชวนเชื่อน้อย อย่างที่บอกว่าพอบทมันไม่ได้ส่งให้ทุกคน ทำให้แม้นักแสดงทุกท่านจะแสดงอย่างเต็มที่อย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ไปได้ไม่สุดเท่าที่ควร
ถึงแม้จะมีจุดที่ติดหลายจุดเช่น บทภาพยนตร์ที่ไม่สมูท(แต่สนุกใช้ได้) การแสดงที่จูนไม่ติดระหว่างรุ่นที่อาจจะเป็นจากเวย์การแสดง(แต่โดยรวมก็เป็นการแสดงที่สุดยอดสำหรับคนดู) หรือแม้แต่การPRหนังให้เป็นหนังวายมากกว่าจะเป็นหนัง Political…