As Films Go By
Favorite films
Recent activity
AllRecent reviews
More-
Shin Kamen Rider 2023
This review may contain spoilers. I can handle the truth.
ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ อดีตของ 'ฮอนโก ทาเคชิ' หรือ 'คาเมนไรเดอร์หมายเลข 1' ก็ได้สลักภาพความตายของพ่อบังเกิดเกล้าให้ฝังแน่นไว้ในความทรงจำ จนกลายเป็นแผลใจคอยย้ำเตือนตัวเอง ว่าความสัมพันธ์ที่เรามีกับคนอื่น ไม่ว่าจะแน่นแฟ้นผูกพันธ์ขนาดไหน สุดท้ายก็จักต้องแตกสลายเพราะความตายที่คืบคลานเข้ามา
.
และเมื่อไม่มีใครบังอาจหลีกหนีความตายพ้น เนื้อแท้ของชีวิตจึงไร้แก่นสาร เป็นเพียงห้วงอนันตกาลแห่งความว่างเปล่าที่เราคงทำได้แค่จมปลัก มองดูความสุขที่ค่อยๆ จืดจาง จนแปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์เพราะคนที่รักดับสลาย และรอคอยให้สรรพสิ่งถูกกลืนกินสู่ความว่างเปล่าในจุดสุดท้ายของกาลเวลา
.
การมีความสัมพันธ์จึงรังจะก่อเกิดแต่ความเจ็บปวด ฮอนโกจึงตัดขาดตัวเองออกจากสังคมและว่างงาน
.
และเพื่อจะขัดขืนสัจธรรมข้อนั้น ช็อคเกอร์จึงมอบคำมั่นที่จะหยิบยื่นความสุขชั่วนิรันดร์ให้แก่ผู้คน ผ่านการดัดแปลงกายเนื้อและจิตวิญญาณ
.
ซึ่งความสุขที่แสดงออกมาผ่านตัวละครมนุษย์แปลงต่างๆ ก็ดูท่าจะเกี่ยวพันกับคำว่า 'เป้าหมาย' อย่างแยกไม่ขาดจนกับคล้ายจะเป็นเรื่องเดียวกัน อย่างชีวิตที่ต้องตามเก็บคนทรยศตามคำสั่ง ชีวิตที่ต้องสรรสร้างโรคระบาดดั่งผลงานศิลปะ ชีวิตที่ต่อให้ต้องตายก็ขอปาร์ตี้ไม่ยั้ง ชีวิตที่ต้องวางโครงสร้างสังคมเพื่อบงการคนอื่น และชีวิตที่ต้องไล่ล่าจัดการคาเมนไรเดอร์หมายเลข 1
.
ว่ากันตรงๆ 'เป้าหมาย' คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตอันไร้แก่นสารของมนุษย์มีคุณค่าขึ้นมาบ้าง ถึงแม้จะเป็นแค่การงานที่ไร้ความหมาย ดั่งเช่นการเข็นหินขึ้นภูเขาของซิซีฟัส, การโกยทรายของจากบ้านกลางหลุมทรายใน Woman in the Dunes, การขุดหลุมของชมรมขุดหลุม (ที่สุดท้ายก็ต้องกลบฝังหลุมอยู่ดี) ใน Shimeji Simulation
.
การงานหรือ 'เป้าหมาย' เหล่านี้คงช่วยส่งให้มวลความสุขได้ไหลเวียนสูบฉีดเมื่อเราได้ทำมัน เช่นเดียวกับฮอนโกในช่วงแรก ที่ไม่ได้มีแรงจูงใจอะไรเป็นพิเศษ ทั้งตัดขาดตัวเองและว่างงาน แต่เมื่อได้รับมอบ 'เป้าหมาย' จากคนอื่นมา (จากด็อกเตอร์และรูริโกะตามลำดับ) ตัวตนของเขาจึงถูกประกอบสร้างขึ้นมา ผ่านคำสั่งเสียให้ปกป้องผู้คน, ผ้าพันคอสีแดง, และชื่อเรียกคาเมนไรเดอร์นั่นแหล่ะ
.
'เป้าหมาย' จึงมีนัยยะสื่อถึงตัวตนของเราอย่างปฎิเสธไม่ได้
.
แต่การที่ 'เป้าหมาย' ของช็อคเกอร์นั้นปฎิเสธความเจ็บปวด ที่หมายถึงการเขียนความทรงจำที่เป็น 'ความสุข' ทับลงไปบนความทรงจำที่เป็น 'ความทุกข์'… -
Guardians of the Galaxy Vol. 3 2023
ผลงานการกำกับซีรี่ย์ทีมป่วนก๊วนพิทักษ์จักรวาลของ 'เจมส์ กันน์' ครั้งสุดท้ายหนนี้ ดูไม่ต่างอะไรกับการออกลุยภารกิจแห่งการลาจาก ทั้งในแง่ที่ว่า ตัวผู้กำกับที่ปลุกปั้นหนังมาตั้งแต่ภาคแรกกำลังจะย้ายไปค่ายคู่แข่งอย่าง DC และในแง่ของนักแสดงที่ต้องโยกย้าย หมุนเวียน สับเปลี่ยนกันก้าวออกไปจากมหากาพย์แฟรนไชส์อันยิ่งใหญ่นี้
.
ด้วยเหตุนี้เอง ตัวหนังจึงพาเราเข้าไปสำรวจตัวตนของแร็คคูนอวกาศ 'ร็อคเก็ท' ในฐานะว่าที่กัปตันคนใหม่ ผู้ที่จะต้องแบกรับหนังชุด Guardians of the Galaxy และทีมนักแสดงรุ่นต่อไปให้ตลอดรอดฝั่ง ในยุคสมัยที่หนังมาร์เวลกำลังหมดของ-เสื่อมความนิยมลงทุกขณะ
.
ซึ่งจะเสื่อมจริงหรือไม่นั้น ก็คงต้องให้อนาคตเป็นตัวตัดสิน แต่ถ้าหากพูดถึงหนังเรื่องนี้แล้ว เราอาจเริ่มต้นด้วยการยกยออวยยศได้ว่า แม้กาลเวลาจะผันผ่านมาแล้วถึง 3 ภาค (ไม่รวมภาคพิเศษ) เอกลักษณ์อันโดดเด่นของ Guardians of the Galaxy อย่างการอุดมไปด้วย 'เพลงเก่าเหมือนนั่งฟังม้วนเทปในรถคุณพ่อ' ก็ยังคงทำงานได้สำเร็จลุล่วง จนต้องหาเพลย์ลิสท์มาฟังต่อ เมื่อออกจากโรงกลับถึงบ้าน
.
โดยเฉพาะเพลง Creep ของ Radiohead ที่บรรเลงเคล้าคลอในฉากเปิดของหนัง ก็ช่วยบอกเล่าเรื่องราวและเตรียมพร้อมผู้ชมได้อย่างเหมาะเจาะ เรื่องราวที่ว่าด้วยอดีตของร็อคเก็ท และการหันกลับไปเผชิญหน้า 'ท้าดวล' กับมัน
.
ตัวร้ายของหนังที่เป็นตั้งตนเป็นผู้วิวัฒน์ขั้นสูง ผู้ซึ่งหมกหมุ่นอยู่กับการสรรสร้างสิ่งมีชีวิตและสังคมอันสมบูรณ์แบบ ดูจะเป็นขั้วตรงข้ามของร็อคเก็ทและชาวแก๊งค์พิทักษ์จักรวาลอย่างโจ่งแจ้ง
.
เพราะเมื่อเราลองพิจารณาดู ว่าถ้าหากร็อคเก็ทคือสิ่งมีชีวิตที่ถูกดัดแปลงอวัยวะจนกลายเป็นตัวประหลาด สมาชิกคนอื่นๆ ในทีมนอกจากเรื่องร่างกายภายนอกที่ดูปกติแล้ว ภายในของพวกเขาก็ล้วนขาดตกบกพร่อง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกันทั้งสิ้น ในแง่นี้ร็อคเก็ทกับสมาชิกคนอื่นจึงไม่แตกต่างกัน
.
แต่ถึงจะขาดๆ เกินๆ แบบนั้น พวกเขากลับมีข้อดีที่น่าหลงใหล และช่วยเติมเต็มกันและกันได้อย่างน่าประหลาด จนสามารถรวมตัวกัน กลายเป็นครอบครัวที่แน่นแฟ้นได้ในที่สุด (ถึงแม้จะตะโกนแหกปากด่าพ่อกันทุกเช้าก็เถอะ)
.
ความไม่สมบูรณ์แบบจึงคล้ายจะเป็นความงามของชีวิต ดั่งเนื้อหาและเสียงร้องกินใจของเพลง Creep ที่หนังใช้เล่นเปิดเรื่องนั่นแหล่ะ
.…
Popular reviews
More-
Inu-Oh 2021
แม้หน้าหนังจะตีตราว่ามีพื้นเพมาจาก 'มหากาพย์เฮเกะ' (เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น) หลังจากตระกูลไทระ (เฮเกะ) สิ้นอำนาจ พร้อมขึ้นต้นเรื่องราวด้วยประโยคว่า 'ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว' แต่ Inu-Oh ก็ตั้งตนไว้ห่างไกลมากๆ จากการเป็นหนังประเภทที่ผลิตซ้ำประวัติศาสตร์ซึ่งหมายถึงเรื่องเล่าที่ตายตัว-แน่นอน อันจะเห็นเด่นชัดได้จากเสียงกีตาร์ไฟฟ้าที่ส่งเสียงคำรามขึ้นมาอย่างผิดยุคผิดสมัยตลอดทั้งเรื่อง เรื่องเล่าเรื่องนี้จึงกลายเป็นหนังร็อคมิวสิคคัลยุคโบราณที่ว่าด้วยประวัติศาสตร์ (หรือเรื่องเล่า) อีกแบบที่ไม่เคยถูกเล่าแทน
.
เรื่องราวของคู่หูตัวเอกอย่าง ‘อินุโอ’ กับ ‘โทโมนะ’ จึงคล้ายจะเป็น Rise and Fall ของร็อคสตาร์ผู้โด่งดังที่อาจเทียบเคียงได้กับชีวิตอันโลดโผนของ ‘เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่’ แห่งวง Queen (ขนาดที่ว่ามีเพลงที่น่าจะเรฟมาจาก We Will Rock You กับ Bohemian Rhapsody ในหนังด้วย) ต่างกันที่สำหรับพวกเขาสองคนแล้ว ความตายอาจจะยังไม่เลวร้ายที่สุด เหตุจากสถานะความเป็นนักดนตรีในสมัยนั้นของทั้งคู่ถูกผูกโยงเข้ากับการเล่าเรื่อง เพลงที่เล่นร้องต้องขับขานเรื่องราวเพื่อส่งต่อเรื่องเล่าสู่ผู้คน (ซึ่งเรียกพระเล่นพิณพเนจรนี้ว่า ‘บิวะโฮวชิ’) เพราะงั้นเมื่อสุดท้ายเรื่องเล่าถูกอำนาจรัฐเข้ามาบงการ ชีวิตของ ‘อินุโอ’ กับ ‘โทโมนะ’ จึงร่วงหล่น, จางหาย, ไม่ต่างกับการตายอย่างไร้สุ้มเสียง
.
บทเพลงหรือเรื่องเล่าของทั้งสองที่รับฟังมาจากวิญญาณทหารไร้นามที่ล้มตายในสงคราม เปรียบดั่งเรื่องเล่าจากมุมมองอื่นๆ มุมมองของคนตัวเล็กตัวน้อย มุมมองของผีสาง เป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีใครรับรู้ว่ามีอยู่ท่ามกลางม่านหมอกอันพล่าเลือนแห่งประวัติศาสตร์ เรื่องเล่าของทั้งคู่จึงสดใหม่และมากมายไม่รู้จบ แต่เมื่ออำนาจเบื้องบนต้องการควบคุมประวัติศาสตร์โดยสถาปนาเรื่องเล่าหลักเพียงหนึ่งเดียวขึ้นมา เรื่องเล่าหรือประวัติศาสตร์อื่นๆ จึงต้องถูกกำจัดให้ไร้ที่ทาง ในแง่นี้ประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเล่าเกี่ยวกับอดีตและความเปลี่ยนแปลง หากแต่อำนาจเบื้องบนได้ทำให้มันกลายเป็นอุดมการณ์เพื่อรับใช้รัฐในที่สุด
.
เพราะงั้นการหยิบจับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาเล่าในมุมมองใหม่อันเป็นหัวใจของเรื่อง จึงย้อนกลับมาเป็นหัวใจของตัวหนังด้วยเช่นกัน ในแง่ที่ว่าหนังก็ช่างกล้าหาญ ผสมเรื่องเล่าและภาพลักษณ์ของดนตรีร็อคร่วมสมัยเข้าไปในประวัติศาสตร์โบราณได้อย่างน่าตื่นตา แน่นอนว่าผิด-ถูกจากข้อเท็จจริงในอดีตก็เรื่องหนึ่ง แต่ก็อย่างที่ อ.ธงชัย วินิจจะกูล บอกไว้ว่าไม่มีหนังสือประวัติศาสตร์เล่มไหนที่สมบูรณ์แบบ คุณูปการของ Inu-Oh จึงได้แก่ความกล้าที่จะจินตนาการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อย่างท้าทาย ซึ่งสุดท้ายมันอาจช่วยให้ผู้คนหันมาสนใจศึกษาประวัติศาสตร์มากขึ้น เพื่อร่วมกันจินตนาการถึงอนาคตที่ดีกว่าเคย
.
คุณูปการอีกอย่างคือ Inu-Oh นั้นพูดแทนประวัติศาสตร์หรือเรื่องเล่าอื่นๆ ที่เสียงเบากว่าเรื่องเล่ากระแสหลัก อาจเพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ว่าประวัติศาสตร์นอกจากที่รัฐพร่ำบอกนั้นยังมีอยู่อีกมากมาย หากแต่ถูกทำให้เลือนหายกลายเป็นผีที่เราไม่ได้ยิน-มองไม่เห็น เหมือนกับชื่อของ ‘โทโมนะ’ ที่พอจำต้องเปลี่ยนเป็น ‘โทโมอิจิ’ ตามสำนักที่มีความสัมพันธ์อันดีกับโชกุนก็กลับทำให้ผีของพ่อหาเขาไม่เจอ และทั้งหมดยิ่งเด่นชัดในช่วงท้าย เมื่อกาลเวลาที่ผันผ่านไปหลายร้อยปีได้ปรากฎภาพผีของโทโมนะยังคงนั่งบรรเลงพิณอยู่ที่เดิม จนผีของอินุโอได้กลับมาพบเจอกัน และเมื่อไม่มีใครคนใดหยิบยกประวัติศาสตร์หรือเรื่องเล่ากระแสอื่นมากล่าวขาน เรื่องเล่าเหล่านั้นก็คงถูกหลงลืมไปตามวันเวลา สุดท้ายคนที่จะมองเห็น-ได้ยินเรื่องเล่าของผีได้ก็เห็นทีจะมีแค่ผีด้วยกันเท่านั้น
.
ประวัติศาสตร์หรือเรื่องเล่าหนึ่งใดจึงไม่ควรมีอำนาจมากเกินไป จนไม่มีที่ทางให้ประวัติศาสตร์หรือเรื่องเล่าอื่นๆ ได้เปล่งเสียงของตนเอง -
You & Me & Me 2023
'มึงว่าสิ้นปีนี้โลกจะแตกป่ะวะ?' คำถามประหลาดๆ ที่ออกมาจากปากของวัยรุ่นฝาแฝด 'มี' กับ 'ยู' อาจเป็นคำถามร่วมของผู้คนในอดีต ณ ห้วงเวลาที่ถูกนิยามว่า Y2K ที่ซึ่งความหวาดกลัวว่าการเริ่มนับศักราชใหม่จากปี 1999 สู่ปี 2000 จะทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลกทำงานผิดพลาด จนส่งผลร้ายแรงถึงขั้นขีปนาวุธทางการทหารถูกยิงโดยอัตโนมัติ ซึ่งประเด็นนี้สอดรับเข้ากับคำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกของนอสตราดามุสพอดิบพอดี แต่ไม่ว่าปัญหาโลกแตกตามคำทำนายนั่นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ สถานะของพวกเธอสองคนตอนนี้ก็เริ่มมองเห็นเค้าลางวันสิ้นโลกคืบคลานใกล้เข้ามาอยู่แล้ว
.
เหตุเพราะวันสิ้นโลกในหนังไม่ได้มีความหมายเพียงแค่วันสิ้นโลกตามคำทำนายของนอสตราดามุสเท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงวันสิ้นโลกของชีวิตเด็กสาวฝาแฝดสองคน ที่อะไรหลายๆ อย่างต่างประเดประดังกันเข้ามา ประหนึ่งโลกจะแตกจนแผ่นดินแยกออกจากกันเสียให้ได้ ทั้งครอบครัวที่พังทลายเพราะพิษเศรษฐกิจ (วิกฤตต้มยำกุ้ง) และการเติบโตที่นำพาความเปลี่ยนแปลงเข้ามา โดยหนังจับภาพเรื่องราวเหล่านี้ไว้ผ่านเส้นเรื่องที่ว่าด้วยครอบครัวพังๆ, ความสัมพันธ์แสนพิเศษของฝาแฝด, และรักแรกของคนหนุ่ม-สาว ที่ทั้งหมดล้วนเกี่ยวพันกับความเป็นไปของโลกพื้นหลังอย่างแยกไม่ขาด สอดรับกับบรรยากาศของหนังที่พยายามดึงวันคืนเก่าๆ ให้หวนกลับมาชัดเจนชัดเจนในสายตา (ถึงหลายๆ สิ่งจะดูผิดเวลาไปบ้างก็เถอะ)
.
คำทำนายวันสิ้นโลกที่มาพร้อมกับการก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ จึงสามารถทาบเข้ากับเรื่องราวการก้าวผ่านวัย (coming of age) ของ 'มี' กับ 'ยู' ได้อย่างเหมาะเจาะ เพราะสุดท้ายแล้วปี 2000 ก็เดินทางมาถึงมวลมนุษย์โดยสวัสดิภาพ ส่วนความระยำตำบอนที่ผ่านมาก็ผ่านไปตามเสียงสวัสดีปีใหม่ จะเหลือไว้ก็เพียงซากปรักหักพังในนามของความเปลี่ยนแปลง เพราะงั้นถึงแม้ว่าผืนดินจะแยกพวกเธอทั้งหลายออกจากกัน (พูดให้ตรงกว่านั้นคือจากกรุงเทพไปนครพนม) แต่พวกเธอก็หาหนทางเชื่อมโยงถึงกันได้เสมอผ่านความเปลี่ยนแปลงที่เธอก้าวข้าม ดังเช่นโทรศัพท์มือถือโนเกียที่พ่อซื้อให้ เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ เมื่อครอบครัวพังทลาย เมื่อพวกเธอเติบใหญ่ และเมื่อพวกเธอแยกจากกัน
.
เหนือสิ่งอื่นใดคือชอบท่าทีของหนังที่ผละออกจากความพยายามจะดึงดูดความสนใจของผู้ชมอยู่ตลอดเวลา แล้วเบนเข็มมาสู่ท่าทีที่เป็นธรรมชาติและเน้นบรรยากาศมากขึ้น (แต่ก็ไม่ได้นิ่งขนาดจะไม่เชื้อเชิญผู้ชมทั่วไปเลย) หลายครั้งหลายคราหนังละสิ่งที่จะบอกเล่าไว้ในฐานที่เข้าใจ เพราะโดยไม่ต้องพูดพร่ำอธิบาย ภาพและเสียงบนจอมันทำงานได้โดยลุล่วง-สมบูรณ์แล้ว (ที่ชอบมากๆ คือ ‘ประจำเดือน’ กับ ‘8 วินาทีที่สี่แยกไฟแดง’)