บันทึกไว้อ่านเอง แต่มาอ่านด้วยกันก็ยินดีจ้ะ
FB: จิจ้าบ้าหนัง | Twitter: JijaSays
CineFriends Podcast on Spotify/YouTube
ครุ่นคิดมาสองคืนว่าการเล่าเรื่องโดยใช้ first person point-of-view จากสองตัวละครหลักที่ผูกพันกันมีผลอย่างไรต่อการถ่ายทอดเรื่องราวจับใจจากหนังสือ The Nickel Boys ของ Colson Whitehead ที่กระชับหากสั่นสะเทือน
ในแง่การดัดแปลงจากหน้ากระดาษสู่ภาพเคลื่อนไหว มัน visually intriguing ขึ้นอยู่แล้วละ เพราะไม่ค่อยมีใครทำ เผยให้เห็นโลกตามสายตาที่เยาวชนสองคนมองเห็น ทั้งความรักจากคนรอบตัว ความโหดร้ายในสถานศึกษา (และโชคชะตา) และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
สายตาที่ Elwood (Ethan Herisse) และ Turner (Brandon Wilson) เห็นอีกฝ่ายก็ poetic สำหรับชะตาของทั้งคู่ ทางเลือกนี้ยังเปิดโอกาสให้ Jomo Fray ได้จับภาพสวยมุมมองแปลก (อาทิ น้องที่โผล่มาจากใต้ที่นั่งรถเมล์) เราชอบสังเกตว่าเขาจะใช้มุมสะท้อนอย่างไร transition ยังไง รักษาความตั้งใจมุมมองบุคคลที่หนึ่งไปได้ตลอดไหม
แต่เมื่อมองผลลัพธ์ภาพรวม เราว่ามันก็มีข้อเสีย คือกลายเป็นใจจดจ่ออยู่กับ technical achievement ค่อนข้าง
distracting และห่างเหิน จะดีกว่าไหมหากกล้องถอยออกไปเพื่อนำเสนอเรื่องราวนี้โดยไม่มีโจทย์บังคับเป็นเงื่อนไข
ในเชิงอารมณ์ Nickel Boys ทำงานกับเราน้อยกว่าที่เนื้อหามีศักยภาพทำได้ โดย emotion high ทั้งหมดอยู่กับคุณยาย (Aunjanue Ellis-Taylor) ที่สื่ออารมณ์ตรงสู่กล้องมายังสายตาเรา ทั้งความรัก (เสียงขานชื่อหลาน Elwood อย่างอ่อนโยน บีบหัวใจทุกครั้ง) ความผิดหวัง (El, I let you down.) ความอาทรและความปวดร้าวที่ซุกในทุกอ้อมกอด ส่วนนี้เป็นจุดหลักที่ justify การใช้สายตาบุคคลที่หนึ่งเล่า
อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนที่รักหนังสือเล่มนี้ ก็ดีใจที่มีฉบับภาพยนตร์ที่ filmmaker กล้าคิดกล้าลอง ใช้ cinematic technique หลากกระบวนท่าเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์อีกรูปแบบ แม้ไม่ตรงใจเราทั้งหมด (nothing in this world would) แต่ก็มาส่งเสริมกันและกันด้วยวิสัยทัศน์ที่แตกต่าง
หนังบางเรื่องจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เล่าได้ สำหรับ Flat Girls ก็มีเพียงจิรัศยา วงษ์สุทินเท่านั้นที่จะเล่าได้สมบูรณ์
Flat Girls มีหลายประเด็นบรรจุอยู่ในหีบห่อหนังที่ฝ่ายการตลาดคงจะกุมขมับว่าควรขายอย่างไร น่าดีใจที่ค่าย GDH เปืดพื้นที่ให้ผู้กำกับได้ทำงานที่ขายยากในตลาดบ้านเกิด
หนังใช้แฟลตตำรวจเป็นเวทีเล่าเรื่องอำนาจที่เหลื่อมล้ำและผลพวงต่อชีวิต-ความสัมพันธ์ เราว่า unique มาก เพราะโดยตัวอาคารสวัสดิการเองมันเป็นตัวแทนชนชั้นค่อนมาทางล่าง แต่จิรัศยาเสนอว่าในโครงสร้างนี้ยังมีคนที่อยู่บน (ครอบครัวที่มีเงินปล่อยกู้ได้ มีลู่ทางไปต่อเมื่อถึงเวลา) และคนที่อยู่ล่างอีกที (ใช้แรงงานหากินภายในอาคารที่พัก พึ่งพาเงินกู้ ไม่มีที่ไป) โดยให้เจน (กิรณา พิพิธยากร) ลูกสาวครอบครัวที่มีเงิน oblivious กับความจริงข้อนี้
ความสนิทสนมของเจนกับแอน (ฟาติมา เดชะวลีกุล) ก็ไม่ได้นำเสนอในมุมโรแมนติกหวานขายฟิน เป็น sexual awakening ที่ยังอยู่ในเฟสการสำรวจตัวตนและความรู้สึกที่มีต่อเพศและบุคคลรอบตัว ทั้งสองตัวละครตั้งคำถามต่อความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อกัน และต่อตัวละครที่เข้ามาเปลี่ยนพลวัตระหว่างกันคืออาตอง (ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์)
หนังก็ทำดีอีกที่ไม่ได้นำเสนอแบบรักสามเส้า และกล้าที่จะเสี่ยงเล่าความสัมพันธ์ที่แหลมคมในมุมที่พิจารณาแล้วเป็นอย่างดีและให้เกียรติผู้ชมว่ามีวิจารณญาณมากพอจะ navigate ความซับซ้อนนี้ไปด้วยกัน
อาตองเป็น father figure ผู้โผเผเข้ามาอยู่ในแกนกลางของเรื่อง แม้เขาจะเป็นผู้ชายใจดีมีเมตตา แต่ก็มีมุมที่มี judgment อันตรายต่อตนเองเช่นกัน อาทิ การสอนขับรถด้วยการใช้รถหลวง และระดับความสัมพันธ์กับเด็กหญิงที่ยังอยู่ในวัยเรียน ไม่ว่าจะมี agenda อย่างไรก็ตาม
ซีนริมแม่น้ำเจ้าพระยาทุกซีนของอาตองบีบหัวใจเรา
ความรักมันก็เป็นแค่เรื่องของคนมีเงินแค่นั้นแหละ
ครั้งแรกที่แอนกล่าวประโยคนี้ซึ่งดูจะเป็นใจความสำคัญของหนัง เรารู้สึกว่ามันยังไม่แข็งแรง แต่จิรัศยาค่อย ๆ คลี่ให้เห็นภาพว่าฐานะ การเงิน ชนชั้น มันส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของตัวละครมาก จนประโยคนี้กลับมาทำงานกับเราภายหลัง โดยตระหนักว่าไม่ใช่แค่ความรัก หากคือความฝันด้วย
เจนน่าจะเป็น surrogate ของตัวผู้กำกับเอง (ปักชื่อที่อกหราขนาดนั้น 😂) เธอเปิดเผยและยอมให้ตัวละครทำตัวส้นตีน (ขอโทษค่ะ)…
Raising Victor Vargas is a gentle film that could turn hotter at the snap of the fingers. If it wants.
These kids navigate teenage years the only ways they know how. Victor (Victor Rasuk) thinks he’s slick (well, he is, but the lip-licking has got to stop!). Without father figure, he picks up what a man should be from whatever surrounding him. Same goes to younger boys who would inherit similar traits. Judy (Judy Marte), blessed and cursed with her…
My favorite sub-genre is auteur does Hollywood mystery. Coen’s Barton Fink, Lynch’s Mulholland Drive, Mitchell’s Under the Silver Lake, etc.
The End of Violence is Wim Wenders’ turn. Not as satisfying (to my taste) but still intrigues. The film is more laid-back than its opening act suggests. The stuntwoman (Traci Lind) catching strays on set. The producer (Bill Pullman, bringing Lynchian vibe) on an abduction gone wrong. Throw in a club for spoken word poetry because why not?
Just when…
มีประโยคนึงซึ่ง RedLife กล้าใส่มา คือ การแซะศิลปินจำพวกเอาคนจนมาวางในบริบทคนรวยเพื่อเสียดสีสังคม ที่บอกว่ากล้าเพราะมันเสี่ยงจะย้อนกลับตัวเองทันทีว่ากำลังทำสิ่งที่แซะแบบ reverse อยู่ ซึ่งรู้สึกเกือบตลอดเรื่องเลย
(ตัวอย่างที่ดีของหนังที่ทำถึง ไม่สะดุด คือ มนต์รักทรานซิสเตอร์ ซีนงานแฟนซีคนจน แทงใจมาก)
หนังเลือกเล่าเรื่องราวโลกคู่ขนานที่อาจมองไม่เห็นในกรุงเทพฯ เริ่มต้นได้น่าสนใจมาก ผิดหวังกับการออกแบบตัวละครและการเดินทางของพวกเขา สองตัวละครในเส้นเรื่องหลักสามารถ define ได้แค่ว่า ‘เมียฉันเป็นกะหรี่’ ‘แม่ฉันเป็นกะหรี่’ และ ultimately, we just need someone. แทบจะไม่มีแรงผลักดันอื่นมาขับเคลื่อน น่าเสียดายเพราะน่าจะสามารถสร้าง conflict บาด ๆ เจาะลึกได้เยอะ
ตัวละครที่น่าสนใจและอยากใช้เวลาด้วยมากที่สุด คือคุณแม่ sex worker รุ่นใหญ่ (กรองทอง รัชตะวรรณ) ประทับใจซีนเหนื่อยล้ากับลูกค้าเด็ก และรายละเอียดทางจิตวิทยาอย่างการระแวงลูกและผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตก็เข้าใจหยอดและถ่ายทอดได้ดี ในขณะที่บท sex worker สาวรุ่นกลับเขียนมาแบนแต๋ (a variation of ก็มันอาชีพอ่ะ! on loop)
หนังเหมือนถูกตั้งโจทย์จากซีนที่อยากให้ปรากฏเป็นภาพ แล้วทำไงก็ได้ลากมันให้มี เช่น ซีนขับรถลงคลอง ซึ่งสวย แต่ drive ตัวละครมันฝืนไหม? และ La foule ซึ่งเก๋ในตัวเอง แต่มันโดดไหม? ทั้งเรื่องเล่าและอารมณ์ในจังหวะตัดต่อ แต่เราเข้าใจนะ เพราะถ้าเราชอบเพลงเราก็คงหาช่องใส่อ่ะ 😂
ภาพดูแพง หาความงามจากสิ่งที่มองผ่านอาจไม่งาม ชื่นชมผู้กำกับภาพ บุณยนุช ไกรทอง และทีม colorist ด้วยบุคลิกของงานชิ้นนี้ อยากให้ผู้กำกับ เอกลักญ กรรณศรณ์ ลองเล่าเรื่องราวความเหี้ยของสังคมคนมีเงิน อาจจะเข้าทางเลยล่ะ
หนังไทยทรงนึงที่นิยมผลิตคือแนวชายแท้อยากแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาดไปต่อคนที่ตนเองรัก (มอง One for the Road) ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรค่ะ การตระหนักรู้ถึงปัญหาเป็นสิ่งที่ดี
Long Live Love! ใช้เงื่อนไขความทรงจำที่หล่นหายและการถ่ายภาพย้อนอดีตเป็นเครื่องมือในการเล่า มีทรงแฟนตาซีแต่ก็ยืนอยู่บนพื้นความจริง (ฟื้นความจำจากสิ่งคุ้นเคย) สร้างรอยยิ้มจากการพยายามเซ็ตภาพให้เหมือนต้นฉบับ การยืนมองพฤติกรรมตนเองด้วยสายตาคนนอกก็เป็นแนวทางที่ผู้ชมน่าจะได้สะท้อนคิดสมความตั้งใจ
งานโปรดักชั่นตั้งใจมาก ชอบสกอร์ที่หยอดดนตรีไทยมีจังหวะลงไปนัว ๆ ในช่วงต้น (ต่อมาเหมือนเปลี่ยนใจ ให้เข้ากับมู้ดที่จริงจังขึ้น), location scout เก่งมาก ดูดี แปลกตา
ลองคิดเล่น ๆ ว่าจะเป็นไงถ้าไม่มีเสียงในหัวลูกสาว (รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง) เล่าประปราย, ถ้าฉากงานแต่งปล่อยไหลเป็น continuous shot (ซึ่งเกือบแล้วนะ) จับภาพสติ (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ที่กำลัง devastated ท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น
ตัวละครเมตตา (อารยา เอ ฮาร์เก็ต) น่าเห็นใจจากความคาดหวังทั้งในฐานะลูกและภรรยาที่ถูกใจ เรานึกถึงตัวละครของอุรัสยา เสปอร์บันด์ใน Fast & Feel Love ที่ภาพรวมเล่าเรื่องทรงเดียวกัน (แต่เรื่องหลังตรงจริตเรากว่านิดหน่อย)
มันคงเป็นยุคของการแก้กรรม อยากกลับไปปรับสิ่งที่พลาดแหละ หนังฝรั่งช่วงนี้ก็มาในคอนเซปต์ mulitiverse น่ะ