lotm1661

lotm1661 Pro

Favorite films

  • The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring
  • Beautiful Thing
  • Reds
  • Scream

Recent activity

All
  • Hero

    ★★★★½

  • Chitty Chitty Bang Bang

    ★★★★

  • The Good Neighbor

    ★★★

  • Old Man

    ★★★½

Recent reviews

More
  • Hero

    Hero

    ★★★★½

    โอ้โห สนุกมาก!

    เรื่องราวของชายผู้มีนิสัยชอบลักขโมย (Dustin Hoffman) จนต้องขึ้นโรงขึ้นศาลและใกล้จะถูกตัดสินโทษอยู่รอมร่อ วันหนึ่งเขาบังเอิญไปพบเห็นเหตุการณ์เครื่องบินตกและผู้โดยสารติดอยู่ข้างใน แม้จะเป็นคนไม่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นแต่พอเจอเหตุการณ์นี้อยู่ตรงหน้า เขาก็เข้าไปช่วยเหลืออย่างเสียไม่ได้ ช่วยเปิดประตูเครื่องบินจนคนหนีออกมาได้

    ไหนๆ ช่วยแล้ว พอเด็กชายคนหนึ่งขอร้องให้เข้าไปช่วยเหลือพ่อที่ติดอยู่ ด้วยเป็นเด็กชายวัยเดียวกับลูกชาย เขาก็สะท้อนใจแล้วตัดสินใจเข้าไปช่วยคนที่ติดอยู่ข้างในออกมาอีกหลายคน หนึ่งในนั้นคือนักข่าวสาวจอมดรามา (Geena Davis) ที่พอรอดออกมาก็เล็งเห็นเรื่องราวของฮีโร่ที่มาช่วยทุกคนไว้แล้วหายไปในกลีบเมฆ เธอชงเรื่องนี้จนสำนักข่าวตั้งรางวัลให้สูงลิ่วแก่ชายฮีโร่ปริศนาที่ทิ้งไว้เพียงรองเท้าข้างเดียวในปลักโคลน

    การตามหาชายผู้นั้นเป็นดั่งเรื่องซินเดอเรลล่า การควานหายุติลงเมื่อชายหนุ่มไร้บ้านออกมายอมรับว่าเป็นเขาเอง (Andy Garcia) ซึ่งที่จริงแล้ว คืนฝนตกหนักคืนนั้น เขาเพียงแต่รับเอาฮีโร่ตัวจริงขึ้นรถมาและพระเอกของเราก็ขี้บ่น เล่าไปเรื่อยให้ฟังทั้งหมด จนชายไร้บ้านนี้นำเรื่องมาแอบอ้างจนกลายเป็นฮีโร่ของประเทศชาติ ผู้คนเชิดชูไปทั่วและได้รับรางวัลมากมาย แต่ฮีโร่ตัวจริงกำลังจะถูกตัดสินจำคุกจากคดีความของตัวเอง

    หนังสนุกและน่าประทับใจมาก ชอบที่หนังเขียนเรื่องให้แต่ละคนไม่มีใครเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ชายไร้บ้านแม้จะน่าหมั่นไส้แต่ที่จริงแล้วก็เป็นคนจิตใจดี เขาเพียงแต่แอบอ้างเพราะเห็นว่าพระเอกก็ไม่ได้ออกมายอมรับจึงฉวยโอกาส สุดท้ายเขาก็ทนความรู้สึกผิดไม่ได้ ส่วนพระเอก ปกติเป็นคนที่ไม่เคยช่วยเหลือใคร กระทั่งเมียเก่ายังบอกกับลูกชายทำนองว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะมัน against his religion to help others น่ะ แต่ในยามวิกฤติจริงๆ พระเอกก็เป็นคนที่พึ่งพาได้

    เรื่องราวเขียนได้สนุกสนานมาก เราลุ้นมากในตอนท้ายว่านางเอกจะรู้ความจริงหรือไม่ว่าใครเป็นคนช่วยชีวิตเธอ เพราะในรายละเอียดเหตุการณ์จริงๆ ที่เกิดขึ้นนั้น แน่นอนว่าชายไร้บ้านไม่รู้เรื่อง และหนังก็หาทางออกให้กับทุกตัวละครได้ลงตัวมาก มันเป็นอารมณ์ขันที่มาพร้อมความซาบซึ้ง จากฝีมือของผู้กำกับชาวอังกฤษที่ทำหนังคลาสสิคในบ้านเกิดอย่าง My Beautiful Laundrette, Dangerous Liaisons แล้วพอมาทำหนังอเมริกันเรื่องแรกอย่าง The Grifters ก็เปรี้ยงปร้าง และนี่ก็คือหนังอเมริกันเรื่องที่สองต่อจากเรื่องนั้น

    นักแสดงนำทั้งสามคนดูเหมาะเจาะในบทบาทของตัวเอง Dustin Hoffman หลับตาเล่นยังได้ และจริงๆ แล้วบุคลิกชายตัวเล็กช่างพูดก็เป็นบทจำของเขามาแต่ไหนแต่ไร Andy Garcia เล่นได้ตอแหลมาก แต่ในความตลบแตลงนั้นก็มีความจริงใจแฝงอยู่ เช่นตอนไปให้กำลังใจผู้ป่วยนั้น เขาไม่ได้ต้องการออกสื่อใดๆ ด้วยซ้ำกับสิ่งดีๆ ที่เขาทำ ส่วน Geena Davis ก็แพรวพราวในบทตลกอยู่แล้ว จะขำจะซึ้งเธอได้หมด

    หนังขึ้นเครดิตด้วยเพลง Heart of a Hero ของ Luther Vandross ที่ไม่ได้ยินมานานมากแล้ว ดีงาม ;)​

  • Chitty Chitty Bang Bang

    Chitty Chitty Bang Bang

    ★★★★

    หนังบ้องแบ๊วมากจนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าดูตอนเป็นเด็กคงสนุกกว่านี้ 55

    คาแรคเทคัส พอทท์ส (Dick Van Dyke) เป็นคุณพ่อนักประดิษฐ์ที่ของแต่ละอย่างดูก๊อง ๆ แก๊ง ๆ ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนทรูลี สครัมพ์เชียส (Sally Ann Howes) เป็นลูกสาวเจ้าของโรงงานทำขนมที่เขาพยายามไปขายขนมที่เป่าเพลงได้ให้

    เนื้อเรื่องของหนังเบาบางมากแต่ก็เข้าใจได้ในความไม่ซับซ้อนเพราะสร้างจากหนังสือเด็ก ความหรรษาส่วนใหญ่จึงไปอยู่ตรงเรื่องเล่าแฟนตาซีที่พระเอกเล่าให้หลานสองคนฟังบนรถประดิษฐ์ใหม่ ณ ริมทะเลแหวก ซึ่งในจินตนาการหนีโจรสลัดนั้น รถก็ทั้งล่องทะเลและเหาะเหินได้ตามใจนึก

    ที่ต้องชมมากคือโลเคชันที่หนังเลือกมาแทนเมืองสมมติวัลแกเรีย วิวทิวทัศน์แต่ละฉากงดงามมาก ปราสาทนอยชวานสไตน์ก็สวยตระหง่าน เพลงในหนังก็เพราะชวนฮัมชวนโยกตามทุกเพลงเลย จากฝีมือของ Sherman Brothers ที่ชนะออสการ์จาก Mary Poppins ในเพลงปล่องไฟ Chim Chim Cher-ee ​ที่เล่นคำแบบเดียวกันเลย

    หนังดูได้เพลิน ๆ แต่ก็เป็นความเพลินแบบเด๊กเด็ก ซึ่งก็ใสดีเหมือนกัน ในขณะที่หนังเด็กสมัยนี้มักจะสอดแทรกความดาร์คหรือมีเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนกว่านี้ เพลงชิตตี้ ชิตตี้ แบง แบงนี่ในเรื่องร้องบ่อยมากจนดูจบแล้วยังต้องแอบพึมพำตาม ;)​

Popular reviews

More
  • Merchant Ivory

    Merchant Ivory

    ★★★★★

    สารคดีเล่าชีวิตและผลงานของคู่หูคู่รัก James Ivory กับ Ismail Merchant​ ที่ดูแล้วคิดถึงงานเด่นแต่ละเรื่องจนอยากหยิบมาดูซ้ำรัว ๆ เลย

    แน่นอนว่าการเล่าเรื่องของทั้งสอง นอกจากตัวเจมส์ ไอวอรี (ที่ปัจจุบันอายุ 96 แล้ว)​ ย่อมขาดเหล่านักแสดงทั้งขาประจำและขาจรจากงานขึ้นหิ้งทั้งหลายไปไม่ได้ พอเคยดูแทบครบ filmography ของทั้งคู่แล้วแบบนี้ เราจึงรู้สึกเพลิดเพลินมากกับคลิปจากหนังเรื่องต่าง ๆ และบทสัมภาษณ์รำลึกวันวานของทีมงาน ซึ่งก็รวมถึงคนเขียนบทเกือบทุกเรื่องอย่าง Ruth Prawer Jhabvala และทีมงานแผนกคอสตูมอย่าง Jenny Beavan และ John Bright​ ที่ชนะออสการ์จากหนังของเมอร์แชนท์-ไอวอรีกันนี่แหละ (แต่ก็ไม่ได้พอยาไส้ ฝ่ายคอสตูมกล่าว 55)

    สิ่งที่เราเพิ่งตระหนักและมันถูกพูดถึงกันอย่างหนาหูมากคือเรื่องความจำกัดจำเขี่ยของบัดเจ็ตแต่ละเรื่อง ที่เราคิดว่ามันดูสวยหรู รุ่มรวยงานศิลป์ หลัก ๆ มันเป็นเพราะความปราณีตของงานภาพและการเลือกใช้โลเคชันอย่างชาญฉลาด หาใช่การทุ่มงบประมาณสร้างมันขึ้นมา เราจึงคิดไปเองว่าหนังก็มีทุนประมาณนึง ไม่ได้โลว์คอสต์จนทีมงานทุกคนต้องกัดฟันสู้กันขนาดนี้

    พอฟังจากคำเม้าท์มอยแล้วก็รู้สึกชื่นชมวิสัยทัศน์ของเจมส์ ไอวอรีเป็นอย่างมาก ดูเป็นคนใส่ใจในรายละเอียดอย่างมหาศาลแต่ก็ไม่ได้จุกจิกกับนักแสดงและปล่อยพื้นที่ให้แต่ละคนได้สร้างสรรค์ในส่วนรับผิดชอบของตัวเองอย่างเต็มที่

    ตลกที่ Emma Thompson เล่าถึงตอนถ่าย Howards End ว่าแค่ฉากขึ้นรถม้าธรรมดาฉากนึง แต่เจมส์ก็โผล่หน้าเข้ามาบอกว่ามันดูน่าเบื่อมาก ช่วยเล่นใหม่อีกที ขำหน้าเอ็มมาที่ดูทึ่งและชื่นชมในความดีเทลนี้ แต่ก็ใช่ว่าเจมส์จะเข้ากันได้ดีกับนักแสดงทุกคนเพราะเห็นมีข่าวทะเลาะฉาวกับ Vanessa Redgrave ตอน The Bostonians​ ด้วย!

    เรื่องส่วนตัวของเขายังมีเรื่องของการเป็นเกย์ที่เขาบอกว่าไม่เคยรู้สึกลำบากใจใด ๆ คือเป็นตัวของตัวเองมาตลอดแต่ก็รู้จักเลือกวางตัวอย่างเปิดเผย แต่เราแ​ป​ลกใจ (ไปเอง)​ ตรงที่อิสมาอิลเคยนอกใจไปคบกับคอมโพเซอร์ Richard Robbins โดยที่เจมส์ก็รู้ แล้วคุณนักแต่งเพลงนี่ก็เคยมีความรักยาวนานกับ Helena Bonham Carter มาก่อนอีก ซึ่งตัวเจมส์เองก็เคยไปมีคนอื่นด้วยเหมือนกัน…

  • I'm Still Here

    I'm Still Here

    ★★★★★

    รวดร้าวแหลกราญสุดหัวใจ! หนังเล่าเรื่องของผู้หลงเหลือจากเหยื่ออุ้มหายของรัฐเผด็จการได้แสนชอกช้ำแต่เข้มแข็งมาก

    ปี 1970 ในบรรยากาศคุกรุ่นทางการเมืองภายใต้เผด็จการทหาร ยูนิซ ไพวา (Fernanda Torres) กับสามี รูเบนส์ (Selton Mello) อดีตสส.ที่เธอเชื่อว่าเลิกยุ่งเกี่ยวเรื่องการเมืองมานานแล้ว ถูกกลุ่มคนลึกลับมาเยือนถึงบ้านและเชิญไปให้ปากคำโดยที่ไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วย ปรากฎว่ามีเพียงเธอที่ต้องกลับมาเฝ้ารอสามีอยู่ที่บ้านกับลูก ๆ ห้าคน

    เผด็จการมีวิธีที่เหี้ยมโหดและไร้มนุษยธรรมในการกำจัดคนที่ถูกมองเป็นเสี้ยนหนามอยู่เสมอแบบที่ทุกคนได้แต่มองตาปริบ ๆ เพราะพวกมันอาศัยกฎหมายและกองทัพเป็นเครื่องมือทำชั่ว ในบางประเทศก็ยังสืบทอดอำนาจไปต่ออย่างตายช้าและหน้าด้าน การเมืองและปราชาธิปไตยในบราซิลก็ยังคงอ่อนไหวไม่แข็งแรงจนถึงทุกวันนี้จนดูแล้วสะท้อนใจกับบ้านเมืองไทยอยู่เหมือนกัน เพราะรัฐประหารและคอรัปชันมันทำให้ทุกอย่างถดถอยไปเรื่อย ๆ

    เฟอร์นันดา ทอร์เรซมอบการแสดงที่แสนวิเศษในหนังเรื่องนี้ ตลอดเวลากับทุกสิ่งที่เธอต้องประสบพบเจอ ไม่มีสักครั้งที่เธอจะมานั่งฟูมฟายให้ใครเห็นเพราะต้องเป็นเสาหลักของบ้าน จากการเฝ้ารออย่างมีความหวังจนถึงจุดที่สิ้นหวัง ทำใจและไปต่อ นี่ดูแล้วรู้สึกท้อจนอยากร้องไห้ แต่เธอก็ยังแสดงออกอย่างยืนหยัดเข้มแข็ง

    เราชอบมากที่หนังเล่าสิ่งเหล่านี้ออกมาแบบไม่ได้ขับเน้นอะไรจนเกินควร ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติ สิ่งที่แม่พยายามต่อสู้เปิดโปงแบบไม่ได้ต้องเล่าเยอะแต่เห็นผลและอดตื้นตันไม่ได้ การเปลี่ยนผ่านของเวลานั้นอาจช่วยบรรเทาแต่ไม่เคยเยียวยาอะไรได้เลย ฉากเล็ก ๆ ฉากนึงที่ชอบมากคือตอนที่นักข่าวมาขอถ่ายรูปครอบครัวแม่ลูกแล้วขอให้ทำหน้านิ่งเศร้า แต่เธอบอกทุกคนให้ยิ้ม ยิ้มสิ! ยิ้มสู้เผด็จการ! ไม่มีอะไรจะไร้ความเป็นคนได้เท่าสิ่งที่พวกมันทำอีกแล้ว

    รู้สึกเซอร์ไพรส์ที่ได้เห็น Fernanda Montenegro​ อีกครั้งด้วย เราเคยดูหนังที่เธอเล่นแค่สองสามเรื่องและจำได้จริง ๆ แค่จากใน Central Station (1998) นั่นแหละ ในวัย 95 แล้วยังเล่นหนังสื่อผ่านสีหน้าสายตาได้อย่างยอดเยี่ยม ;)​