Favorite films
Don’t forget to select your favorite films!
Don’t forget to select your favorite films!
This review may contain spoilers. I can handle the truth.
การออกแบบสถาปัตยกรรมของสักงานของสถาปนิกเนี่ยมันคือการใส่ชีวิตเข้าไป(แต่ชีวิตของใครมันก็อีกเรื่องนึง) สถาปัตยกรรมมันมีทั้งตัวตน จิตวิญญาณลามไปยังเจตจำนงเสรีได้เลย คำถามคือถ้าเจตจำนงเสรีที่ว่าเนี่ยมันอยู่ในงานสถาปัตยกรรมจริง แล้วในอีกแง่นึงมันจะอยู่ร่วมกับทุนนิยมยังไง ในเมื่อทุนนิยมมันไม่มีทางอนุญาตให้มีเจตจำนงเสรีแน่ๆ เพราะมันถูกจำกัดด้วยทุนกำไรผลประโยชน์ นอกจากนั้นในเรื่อง ตัวอาคารเองก็เป็นสิ่งที่เศรษฐีท่านหนึ่งอยากจะcontributeให้แม่ตัวเองและชุมชน akaสร้างบารมีให้ตัวเองอารมณ์สร้างวัดให้เป็นชื่อเราเพื่อแสดงอำนาจ
คือจริงๆใช้คำว่าเจตจำนงเสรีมันcontroversialไปหน่อย แต่ที่แน่ๆคือลาสโลใส่ชีวิตและจิตวิญญาณของตัวเองเข้าไป ถึงตอนแรกเรื่องจะยังไม่ได้พูดถึงdesign thinking processหรือว่าแรงบันดาลใจเลยก็เถอะ แต่ถ้าดูจากการกระทำเนี่ยลาสโลคือไม่ยอมให้ใครมาขัดเลย งบไม่พอก็เอาค่าจ้างตัวเองโปะไม่ยอมเปลี่ยนแบบ,นายทุนทำตัวอุบาทๆใส่ก็ต้องขบกรามห้ามใจไว้ไม่สวนกลับ หรือกระทั่งโดนทำร้ายก็ยังเงียบปาก เค้าอยู่กับงานชิ้นนี้มาหลายปี รู้ทุกอย่างทุกนัยยะของตึก รู้ทุกระยะทุกแสงเงา รู้วัสดุรู้การก่อสร้าง ต่อให้ไม่รู้ว่ามันมาจากอะไรเราก็เห็นชัดๆกันอยู่แล้วว่าลาสโลแลกเหงื่อทุกหยดของเขากับงานนี้
ซึ่งประเด็นความสัมพันธ์ของลาสโลกับแฮริสัน(นายทุน)ก็เป็นประเด็นหลักเลย แต่มันไม่ใช่การงัดกันของสถปนกับนายทุน มันคือตัวตนของลาสโลที่เขาต้องยอมแลก สุดท้ายก็วนกลับมาที่สถาปัตยกรรมมันจะอยู่กับทุนนิยมยังไง มันคุ้มแลกมั้ย เสียตัวตนในชีวิตจริงไปบ้างแลกกับตัวตนในงานจะคงอยู่ ยิ่งตอนท้ายยิ่งชัดเลยว่าทำไมเขาไม่ยอมงอให้กับผู้รับเหมาเลย แต่ยอมแลกหลายๆอย่างเพื่องานนี้ เพราะมันคือเขาอ่ะ เรื่องราวของเขา งานของเขา ถึงสุดท้ายอาคารนี้ก็ต้องอิงชื่อแฮริสันอยู่ดี
ฉากนึงที่ย้ำเข้าไปอีกว่าสถาปัตยกรรมคือชีวิตและตัวตนของสถาปนิก คือฉากที่รถขนวัสดุเกิดอุบัติเหตุจนแฮริสันเลิกจ้างแล้วหยุดโปรเจคไว้เลย ลาสโลคือหลุดเลย เขาคงรู้สึกว่ากูอดกลั้นไปตั้งหลายอย่าง เอาสถปนคนอื่นมาเปลี่ยนแบบกูก็แล้ว เหยียดหยามเย้ยหยันกูก็ทน สุดท้ายต้องมาจบลงดื้อๆ แต่พอเวลาผ่านไปลาสโลได้กลับมาทำโปรเจคนี้ต่อเขาเรียกมันว่าข่าวดี ทั้งๆที่ภรรยาของเขาไม่ได้ยินดีด้วย เธอคงเห็นแล้วว่าไอบ้านนั้นมันทำกับสามีเธอยังไงไม่อยากให้สามีกลับไปยุ่งอีก(ส่วนนึงอาจจะเพราะว่าเธอก็รู้สึกพอใจชีวิตขณะนั้นแล้ว บวกกับหลานจะย้ายออกอีกมันเลยรู้สึกไม่อยากให้สามีทำเพราะเธอเหมือนถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว) จนแล้วจนรอดลาสโลก็นับว่าประสบความสำเร็จที่ได้อาคารตามเจตจำนงตัวเอง แถมยังbecame renowned ในช่วงบั้นปลายด้วย
รู้สึกว่าคิดถูกมากที่ตั้งชื่อว่า the brutalist ความหมายนีงมันก็ชัดเจนว่าลาสโลเป็นสถปนที่สไตล์งานเป็นแนวbrutalism แต่อีกความหมายนึงมันก็พูดถึงความbrutal ถึก ลำบาก ของการundergo one thing until you achieve its destinationเหมือนกัน
หนังดูไม่ยาก ไม่หย่อนไม่ตึง scoreดี แสดงดี ยาวมาก ยาวโคตรๆ แถมมีพักครึ่วด้วย เปิดประสบการณ์เว่อ มีหลายอย่างที่ยังพยายามคิดแล้วก็ตกตะกอนอยู่ แต่ตอนนี้แพล่มไปก่อนเดี๋ยวลืม