Pique Knoithi

Pique Knoithi

Favorite films

  • La Jetée
  • Twelve Monkeys
  • Casablanca
  • Transit

Recent activity

All
  • Worlds Apart

    ★★★★½

  • World of Glory

    ★★★★

  • Flat Girls

    ★★★½

  • Companion

    ★★★

Recent reviews

More
  • Worlds Apart

    Worlds Apart

    ★★★★½

    นั่งดูบนเครื่องบิน ที่ๆอาจจะไม่ได้เหมาะกับการดูหนังแบบซีเรียสๆสักเท่าไร แต่เพียงแค่ไม่กี่นาทีของหนัง มันก็กระทบใจเราอย่างรุนแรงอย่างบอกไม่ถูก

    ฉากแรกที่น้าหลานพบกัน ไม่รู้ทำไมแต่มันสั่นสะเทือนเรามากๆ น้าก็ไม่ได้ชอบพี่สาวตัวเอง (ซึ่งก็คือแม่ของหลานที่เพิ่งตายไป) แต่ด้วยอะไรบางอย่างทำให้น้าตัดสินใจอุปการะหลานตัวเองต่อ (มานึกทีหลังก็สงสัยว่าไม่มีการพูดถึงพ่อหรือญาติฝั่งพ่อเลย) ซึ่งตัวละครเองก็ไม่เข้าใจตัวเอง เราเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นมันมาจากไหน

    บางทีมันอาจจะเป็นความรู้สึกเดียวกันที่เราอาจจะบังเอิญรู้สึกเหมือนตัวละครน้าที่ไม่ได้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับครอบครัวไม่ว่าจะพี่สาวหรือแม่ตัวเองก็ตาม และพอได้เห็นเด็กคนหนึ่งที่อยู่ๆก็สูญเสียครอบครัวไปกะทันหัน มันเกิดภาวะต่อไม่ติดกับคนรอบตัว มันเหมือนเป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยเด็กคนนี้ในฐานะของคนที่ต่อไม่ติดกับคนรอบข้างเหมือนกัน

    แต่นั่นน่าจะเป็นแค่สิ่งที่ตัวละครคิด เพราะสิ่งที่เป็นจริงเธอไม่ได้ต่อกับใครไม่ติด มีคนรอบตัวเธอมากมายที่เชื่อมต่อกับเธออยู่ตลอด เพียงแต่มันเป็นการรับรู้ของเธอเองที่รู้สึกดีกว่าที่จะมองแบบนั้น

    ซึ่งยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตัวเอง

    ส่วนตัวหลานเอง การที่ได้มาอยู่กับน้าในช่วงเวลาแบบนี้ ซึ่งซ้อนทับทั้งการสูญเสียครอบครัว ทั้งการก้าวพ้นวัย มันก็อาจจะกลายเป็นเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นก็เป็นได้ แน่นอนว่าการที่ยังมีครอบครัวอยู่มันย่อมจะดีกว่า แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้เธอได้ค้นพบตัวเองในแบบที่ก่อนหน้านี้เธออาจจะไม่กล้าค้นพบมันก็เป็นได้

    อาจจะผิดคาดอยู่สักหน่อยที่หนังมันกระแทกเรารุนแรงมากในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นหนังมันค่อนข้างนุ่มนวล ค่อยเป็นค่อยไป แทบไม่มีความตึงเครียด หนังไม่ได้พยายามนำพาตัวละครไปสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากหรืออึดอัดใจเป็นพิเศษ ทั้งหมดทั้งมวลมันก็คือปัญหาในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะสำหรับคนน้าหรือคนหลานก็ตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ชอบมากเช่นกัน เพราะมันไม่มีเส้นแบ่งในชีวิตจริงหรอกว่าเราจะก้าวข้ามการสูญเสียไปเมื่อไร หรือเราจะปรับตัวครอบครัวใหม่อย่างไร ปัญหามันก็มีๆหายๆ วันนี้โอเค พรุ่งนี้ก็อาจจะมีเรื่องกวนใจ มันก็เป็นแบบนั้นเอง

  • Flat Girls

    Flat Girls

    ★★★½

    จะว่ายังไงดี มีทั้งส่วนที่ชอบมากๆ แล้วก็ส่วนที่ติดขัดมากๆเหมือนกัน

    ส่วนที่ติดขัดก็อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องของการเล่าเส้นเรื่องต่างๆที่มีทั้งที่ดูไม่ค่อยปะติดปะต่อ มีความกระโดดไม่ต่อเนื่องอยู่พอสมควร โดยเฉพาะเส้นเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครแอนกับตอง หรือความที่เรื่องราวของตัวละครแต่ละตัวต่างก็มีชีวิตของตัวเองซึ่งเป็นส่วนที่ดีแต่ก็รู้สึกว่าหนังจัดวางน้ำหนักของแต่ละเรื่องได้ไม่ค่อยลงตัวเท่าไร

    แต่ที่น่าสนใจคือแม้ว่าหนังจะดูเหมือนมีความกระท่อนกระแท่นในการเล่าเรื่องก็ตาม แต่เรากลับเกิดความรู้สึกร่วมกับตัวละครอยู่ไม่น้อย ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากความรู้สึกส่วนตัวของเราเองที่ก่อร่างสร้างมันขึ้นมาหรือแท้จริงแล้วเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากวิธีเล่าแบบนี้ของหนัง

    แต่ที่แน่ๆความรู้สึกร่วมที่ว่าก็ถือว่าซึมลึกเอาการ

    แน่นอนว่าการที่หนังฉายภาพสังคมไทยโดยย่อผ่านชุมชนแฟลตตำรวจที่มาพร้อมกับความเหลื่อมล้ำ ความปากกัดตีนถีบ ความกดขี่กันเอง แต่จะมากจะน้อยทุกคนต่างก็อยู่ใน "พื้นที่" ที่สกปรกแออัดไม่ต่างกัน และเราก็รู้ว่ามันมีคนที่สะดวกสบายใช้ชีวิตอีกแบบอยู่ข้างนอก ทั้งหมดนั้นมันคือสารที่ "ได้" เรามากๆ คือว่าง่ายๆเราเองก็พร้อมจะอินพร้อมจะซึมซาบมันอยู่แล้ว แต่มีหลายๆแง่มุมที่รู้สึกชอบเป็นพิเศษ

    เราชอบมากๆที่หนังเลือกเล่าพื้นที่ของแฟลตตำรวจ เพราะในด้านหนึ่งมันคือ "อภิสิทธิ์" ที่ใช่ว่าใครๆจะเข้าถึงได้ แต่อีกด้านหนึ่ง โดยสภาพแล้วมันก็ไม่ได้ต่างจากชุมชนแออัดหรือสลัมสักเท่าไร ยิ่งไปกว่านั้นสลัมเองในบางแง่มุมก็อาจจะมีคนภายนอกเข้าไป "พัฒนา" อะไรบางอย่างให้ได้บ้าง แต่แฟลตตำรวจไม่มีอะไรแบบนั้นเลย มันเลยทำให้มันเป็นพื้นที่ที่จะว่าเฉพาะตัวก็ใช่ แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยากเลย

    ชอบที่หนังไม่ได้มาพูดเรื่องว่ามีตำรวจเลว ตำรวจรวยเพราะโกงอะไรทำนองนั้น เสมือนว่าเป็นสิ่งที่เป็นข้อมูลพื้นฐานอยู่แล้ว และตัวละครนำเองก็ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ และไม่ใช่ประเด็นหลักที่หนังสนใจ แต่สนใจที่ตำรวจจนๆอย่างตองมากกว่า (ซึ่งเอาจริงๆเราก็ไม่สามารถแน่ใจหรอกว่าเป็นตำรวจดี ถึงเขาจะดูนิสัยไม่เลวก็ตาม) ซึ่งก็น่าสนใจที่หนังก็ไม่ได้บอกว่าทำไมตองถึงไม่มีเงิน ต้องหยิบยืมคนอื่น ในแง่หนึ่งมันก็อาจจะเป็นการด่วนสรุปว่า "ตำรวจดีๆยังไงก็จน" แต่มันก็ดูจะเป็นข้อสรุปที่เราหรือแม้แต่ใครๆก็พร้อมเชื่อว่าสาเหตุที่ตำรวจคนนึงจะจนมันไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้นหรอก

    แต่อย่างไรก็ดีด้วยความที่หนังอยากเล่าชีวิตของตัวละครหลากหลาย แต่โดยโครงสร้างที่ตั้งมามันอาจจะดูตั้งใจให้เป็นเรื่องราวการเติบโตของตัวละครเจนเป็นหลัก มันเลยมีความแกว่งไปมาของเรื่องเล่า พลังของเรื่องราวของตัวละครแต่ละคนไม่เว้นแม้แต่ตัวละครหลักจึงไม่ได้ส่งพลังอย่างเต็มที่ เราจึงไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นเจน ความเป็นแอน ความเป็นตองอย่างถึงที่สุด แม้ว่าเราจะรู้สึกได้ถึงความเป็นคนในชุมชนแฟลตตำรวจ หรือกว้างกว่านั้นคือคนในสังคมไทยได้มากก็ตาม

Popular reviews

More
  • When the Cat Comes

    When the Cat Comes

    ★★★★½

    หนังเปิดเรื่องโดย "โอลิวา" ชายรุ่นใหญ่คุยกับคนดูว่ามันสนุกดีนะถ้าเราได้สังเกตผู้คนแบบห่างๆ แล้วเขาก็เริ่มพูดถึงผู้คนในเมืองทีละคนว่าใครเป็นใคร ทำอะไรกันบ้าง หลังจากนั้นหนังก็เริ่มไปสนใจความสัมพันธ์ของแต่ละคนโดยที่ศูนย์กลางของเรื่องจะอยู่ที่ผอ. โรงเรียนกับครูโรแบร์ต ที่ดูจะมีความเห็นไม่ลงรอยกันหลายๆเรื่อง

    จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงเมื่อมี "คณะนักมายากล" เดินทางมายังเมือง ซึ่งคณะนี้ประกอบด้วยนักมายากลที่หน้าตาเหมือนกับโอลิวาเปี๊ยบ หญิงสาวในชุดแดง และแมวใส่แว่น ระหว่างการแสดงโชว์อันน่าตื่นตะลึง นักมายากลเล่าเรื่องราวที่สอดคล้องเป๊ะกับชีวิตจริงของผอ. โรงเรียนและครูโรแบร์ต และบางเรื่องที่ทั้งคู่ก็ไม่รู้มาก่อน จากนั้นโชว์เด็ดก็คือเจ้าแมวที่ใส่แว่น พอถอดแว่นมองไปที่ผู้คน ผู้คนจะมีสีประจำตัวขึ้นมา ถ้าสีเหลืองแสดงว่ามีชู้ ถ้าสีเทาแสดงว่าเป็นขโมย ถ้าสีม่วงแสดงว่าโกหก ถ้าสีแดงแสดงว่าตกหลุมรัก ทำให้คนทั้งเมืองที่มาดูโชว์แตกตื่นวุ่นวาย ก่อนที่หลังจากนั้นแมวใส่แว่นจะหลุดหายไป

    คนทั้งเมืองช่วยกันตามหาแมวแต่จุดประสงค์ต่างกัน ฝ่ายผู้ใหญ่ไม่อยากให้แมวเผยตัวตนของตัวเอง แต่ฝ่ายเด็กสนุกกับการที่ทำให้ผู้ใหญ่เป็นธาตุแท้ออกมา ซึ่งส่วนนี้เองที่ทำให้หนังซึ่งดูเหมือนจะเป็นหนังตลกแฟนตาซีสนุกๆในช่วงแรก กลายเป็นมีความเข้มข้นคมคายและมีนัยยะทางการเมืองอย่างน่าสนใจ

    ชอบฉากที่เด็กๆแห่เจ้าแมวใส่แว่น (ที่ถอดแว่นแล้ว) ไปทั่วเมืองและผู้ใหญ่ที่เปลี่ยนสีก็ต้องวิ่งหนีเพื่อหลบเจ้าแมว และแน่นอนผู้ใหญ่ โดยเฉพาะ ผอ. โรงเรียนก็พยายามหาวิธีกำจัดแมว นำไปสู่การประท้วงของเด็กๆในตอนท้ายซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าไม่ต่างจากการ strike ของคนงานเลย ความเป็นผู้ใหญ่ไม่มีความหมายอะไรถ้าไม่มีใครให้ส่งต่อชีวิตและสังคม แต่ผู้ใหญ่มักจะไม่รู้ตัวและมักจะส่งต่อสังคมแย่ๆให้คนรุ่นหลัง และเมื่อเผชิญหน้ากับความจริงก็เลือกที่จะปกปิดมากกว่ายอมรับ

    หนังเล่าเรื่องราวแบบง่ายๆแต่ลูกเล่นแพรวพราวมีชีวิตชีวาเหลือเกิน

  • Evil Does Not Exist

    Evil Does Not Exist

    ★★★★½

    ค่อนข้างอึ้งกับหนังทีเดียว เนื่องจากที่ผ่านมาคุ้ยเคยกับหนังของฮามากุจิแบบหนึ่ง (Happy Hour (2015), Asako I & II (2018), Drive My Car (2021), Wheel of Fortune and Fantasy(2021)) แต่กับ Evil Does Not Exist นั้นอาจจะเรียกได้ว่าหนังนำพาตัวเองไปสู่ทิศทางที่ต่างออกไปมากๆ

    เรื่องราวของ Evil Does Not Exist นั้นเกี่ยวกับชุมชนเล็กๆแห่งหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับผู้ประกอบการที่จะเข้ามาสร้าง "แกลมปิ้ง" ในพื้นที่ป่าของชุมชน ซึ่งทำให้เกิดข้อขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับผู้ประกอบการ แต่ถึงจะพูดว่าข้อขัดแย้งแต่ก็ใช่ว่าชาวบ้านจะคัดค้านเต็มประตู เพียงแต่ชาวบ้านมีข้อเสนอให้ผู้ประกอบการปรับปรุงโครงการให้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของชุมชนลดลง

    ซึ่งในส่วนของเรื่องราวนี้หนังบอกเล่าได้อย่างหมดจดจริงๆ มันทำให้เห็นความสัมพันธ์ของคนในระบบทุนนิยม และความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชน และจุดที่มันได้ปะทะกัน หนังนำเสนอได้อย่างน่าสนใจว่าไม่ว่าจะมองมันในเชิง "อนุรักษ์ธรรมชาติ" หรือไม่ สุดท้ายมันก็เป็นหลักการที่ว่าคนกลุ่มหนึ่งต้องคำนึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนอีกกลุ่มเสมอ ซึ่งจะว่าไปแล้วช่างเป็นหลักการที่ตรงกันข้ามกับระบบทุนนิยมโดยสิ้นเชิง

    และที่ชอบมากๆคือภาพความสัมพันธ์ของระบบทุนนิยมที่มีต่อสิ่งอื่น ระบบทุนนิยมไม่เคยปรากฏตัวด้วยตัวเอง นายทุนก็ไม่เคยปรากฏตัว รัฐก็ไม่ปรากฏตัว แม้กระทั่งผู้ประกอบการเจ้าของโครงการก็ไม่เคยปรากฏตัว แต่เราจะรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของสิ่งต่างๆที่ว่าไปทั้งหมด ระบบทุนนิยมมันจึงเป็นระบบที่ใช้ตัวแทนในการจัดเรื่องต่างๆ มันจึงมีคำวิจารณ์ว่าระบบทุนนิยมนั้นสร้าง "Bullshit Job" ขึ้นมามากมาย คือเป็นงานที่ไม่ใช่งานจริงๆ แต่เป็นงานตัวแทนของระบบที่สร้างขึ้นเพื่อมีสถานะคล้ายๆกับเกราะป้องกันตัวเองของระบบทุนนิยม เพราะพูดอย่างง่ายๆ การจะสร้างแกลมปิ้งหรืออะไรก็ตามที คนที่ควรจะพูดคุยกันคือคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย แต่สิ่งที่เกิดขึ้น (และเกิดขึ้นเสมอ) คือบางฝ่ายจะปรากฏตัวเฉพาะ "ตัวแทน" เท่านั้น

    ซึ่งนัยยะของการปรากฏตัวนี้เองก็สอดรับกับชื่อหนัง "Evil Does Not Exist" ซึ่งเป็นชื่อหนังที่คลุมเครือเปิดกว้างมากๆว่า Evil นั้นคืออะไร และที่ว่า "ไม่มีอยู่" นั้นมันเป็นความหมายในแง่ไหน มันอาจจะถึงว่าปีศาจร้ายไม่มีอยู่จริงก็ได้ เพราะหากมองความสัมพันธ์ของบุคคลต่างๆที่หนังนำเสนอก็จะพบว่าไม่ได้มีใครเป็น "ตัวร้าย" หรืออาจจะมองในมุมระบบทุนนิยม…