นั่งดูบนเครื่องบิน ที่ๆอาจจะไม่ได้เหมาะกับการดูหนังแบบซีเรียสๆสักเท่าไร แต่เพียงแค่ไม่กี่นาทีของหนัง มันก็กระทบใจเราอย่างรุนแรงอย่างบอกไม่ถูก
ฉากแรกที่น้าหลานพบกัน ไม่รู้ทำไมแต่มันสั่นสะเทือนเรามากๆ น้าก็ไม่ได้ชอบพี่สาวตัวเอง (ซึ่งก็คือแม่ของหลานที่เพิ่งตายไป) แต่ด้วยอะไรบางอย่างทำให้น้าตัดสินใจอุปการะหลานตัวเองต่อ (มานึกทีหลังก็สงสัยว่าไม่มีการพูดถึงพ่อหรือญาติฝั่งพ่อเลย) ซึ่งตัวละครเองก็ไม่เข้าใจตัวเอง เราเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นมันมาจากไหน
บางทีมันอาจจะเป็นความรู้สึกเดียวกันที่เราอาจจะบังเอิญรู้สึกเหมือนตัวละครน้าที่ไม่ได้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับครอบครัวไม่ว่าจะพี่สาวหรือแม่ตัวเองก็ตาม และพอได้เห็นเด็กคนหนึ่งที่อยู่ๆก็สูญเสียครอบครัวไปกะทันหัน มันเกิดภาวะต่อไม่ติดกับคนรอบตัว มันเหมือนเป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยเด็กคนนี้ในฐานะของคนที่ต่อไม่ติดกับคนรอบข้างเหมือนกัน
แต่นั่นน่าจะเป็นแค่สิ่งที่ตัวละครคิด เพราะสิ่งที่เป็นจริงเธอไม่ได้ต่อกับใครไม่ติด มีคนรอบตัวเธอมากมายที่เชื่อมต่อกับเธออยู่ตลอด เพียงแต่มันเป็นการรับรู้ของเธอเองที่รู้สึกดีกว่าที่จะมองแบบนั้น
ซึ่งยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตัวเอง
ส่วนตัวหลานเอง การที่ได้มาอยู่กับน้าในช่วงเวลาแบบนี้ ซึ่งซ้อนทับทั้งการสูญเสียครอบครัว ทั้งการก้าวพ้นวัย มันก็อาจจะกลายเป็นเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นก็เป็นได้ แน่นอนว่าการที่ยังมีครอบครัวอยู่มันย่อมจะดีกว่า แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้เธอได้ค้นพบตัวเองในแบบที่ก่อนหน้านี้เธออาจจะไม่กล้าค้นพบมันก็เป็นได้
อาจจะผิดคาดอยู่สักหน่อยที่หนังมันกระแทกเรารุนแรงมากในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นหนังมันค่อนข้างนุ่มนวล ค่อยเป็นค่อยไป แทบไม่มีความตึงเครียด หนังไม่ได้พยายามนำพาตัวละครไปสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากหรืออึดอัดใจเป็นพิเศษ ทั้งหมดทั้งมวลมันก็คือปัญหาในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะสำหรับคนน้าหรือคนหลานก็ตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ชอบมากเช่นกัน เพราะมันไม่มีเส้นแบ่งในชีวิตจริงหรอกว่าเราจะก้าวข้ามการสูญเสียไปเมื่อไร หรือเราจะปรับตัวครอบครัวใหม่อย่างไร ปัญหามันก็มีๆหายๆ วันนี้โอเค พรุ่งนี้ก็อาจจะมีเรื่องกวนใจ มันก็เป็นแบบนั้นเอง