Favorite films
Don’t forget to select your favorite films!
Don’t forget to select your favorite films!
อิมแพคต่ออารมณ์อย่างรุนแรง ด้วยวิธีการเขียนบทและเรียบเรียงออกมาเป็นเรื่องราวอันละเอียดอ่อน นำเสนอมุมมองต่อความรู้สึก “เจ็บปวด” ได้อย่างลึกซึ้ง และมีความหมายหลายชั้น ในท่าทีจริงจังแต่ก็ยังเจืออารมณ์ขันอ่อนโยนเอาไว้ เช่นเดียวกับตัวละครแทบทุกคนในเรื่อง (กระทั่งชีวิตจริงของคนทั่วไป) และนั่นยิ่งทำให้เข้าอกเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดได้มากขึ้นไปอีก
สวัสดีปีใหม่ ด้วย... ‘Light of My Lion’ ซีรีส์ความยาว 11 ตอน จากญี่ปุ่น บอกเล่าความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ผ่านพี่ชายที่คอยดูแลน้องชายออทิสติกอย่างสงบมาตลอดหลายปีหลังพ่อแม่ตายไป จนกระทั่งการเข้ามาของเด็กชายปริศนาตัวน้อยที่ใช้ชื่อว่า ‘ไลออน’ ซึ่งอาจเกี่ยวพันกับข่าวฆาตกรรมที่สะพานใกล้หมู่บ้าน และพี่สาวคนโตของสองพี่น้องที่เคยหนีออกจากบ้านไปเมื่อนานมาแล้ว
ตัวบทและเรื่องราวถ่ายทอดออกมาตามสไตล์ญี่ปุ๊น-ญี่ปุ่น คืออบอุ่นหัวใจ แม้จะมีมวลดราม่าชวนน้ำตาซึมโอบกอดอยู่ตลอดเรื่อง ทั้งยังมีแนวทางของซีรีส์สืบสวนสอบสวนแทรกเข้ามาเล็กๆ ให้พอได้ลุ้นและติดตามต่อ แต่หลักใหญ่ใจความก็คือ ซีรีส์จงใจสื่อสารประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของคนใกล้ตัวอย่างคนในครอบครัว ที่... ‘แม้จะใกล้ชิดกันมากแค่ไหน ก็ไม่อาจรับรู้ความรู้สึกข้างในได้ หากไม่พูดมันออกมา’
ผู้เขียนชื่นชอบวิธีการใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของตัวละครต่างๆ มาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่บทที่ผูกโยงเรื่องราวเข้าด้วยกันอย่างดี และแง่การแสดง ที่นักแสดงสวมบทบาทตัวละครของตนเองได้อย่างน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยูยะ ยากิระ ในบทชายหนุ่มที่เก็บงำความคิดและความรู้สึกของตัวเองไว้ภายใต้ภาพลักษณ์พี่ชายที่แสนดี และบุรุษผู้มีน้ำใจให้คนรอบข้างเสมอ เขาสร้างคาแรคเตอร์ที่ดูธรรมดา ให้น่าจดจำได้ ผ่านการแสดงออกแต่น้อย เก็บซ่อนอารมณ์ไว้ภายใน แล้วสื่อสารออกมาผ่านสีหน้าและแววตาอันเป็นธรรมชาติ ขณะที่ เรียวตะ บันโดะ ในบทน้องชายออทิสติก ก็สวมบทบาทนี้ได้อย่างน่าเชื่อถือ และที่ลืมไปไม่ได้ก็คือ ทาสึกุ ซาโตะ หนูน้อยวัย 5 ขวบ ที่มีทั้งความน่ารักสดใสควบคู่ไปกับการถ่ายทอดอารมณ์ในฉากดราม่าได้อย่างน่าสงสารจับใจ
และแม้จะมีพล็อตเรื่องที่เอื้อให้เล่าออกมาในแนวเมโลดราม่า แต่ผู้กำกับทั้ง 3 (โทชิโอะ สึโบอิ, ทาคาฮิโร อาโอยามะ และ มาซาฮิเดะ อิซึมิ) ก็เลือกที่จะนำเสนอเรื่องราวทั้ง 11 ตอน ในโทนผ่อนคลาย และไม่พยายามบีบคั้นจนเกินเหตุ ส่งผลให้ภาพรวมของซีรีส์ออกมาอบอุ่นหัวใจ แม้เนื้อในจะเต็มไปด้วยประเด็นปัญหาทางสังคมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกายกันในครอบครัว ไปจนถึงการปลอมแปลงและสร้างตัวตนใหม่นั่นเลยทีเดียว
สามารถรับชมซีรีส์ Light of My Lion | บ้านสิงโตน้อย ทุกตอนได้ใน Netflix
ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน ซีรีส์เรื่องหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า ‘SOS Skate ซึม ซ่าส์’ ซึ่งเป็น 1 ใน 4 เรื่องของซีรีส์ชุด ‘Project S The Series’ และส่วนตัวยกให้เป็นเรื่องที่ดีที่สุดในซีรีส์ชุดนั้น ถึงกับเคยโพสต์ไว้ว่า อยากให้ พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ - ผู้กำกับเรื่องนี้ได้มีโอกาสกำกับหนังสักเรื่อง…และแล้ววันนั้นก็มาถึงในที่สุด
ใน “หลานม่า” งานกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา ยังคงมีประเด็นร่วมกันกับซีรีส์ข้างต้น นั่นคือ ‘ครอบครัว’ ทว่าขนบและวิธีการเล่านั้นแตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง เมื่อ SOS นำเสนอออกมาในสไตล์ที่โดดเด่นและจัดจ้านในงานภาพ บวกกับการลำดับภาพฉึบฉับสไตล์วัยรุ่น แต่ในหนังเรื่องนี้กลับใช้วิธีดำเนินเรื่องอย่างเรียบง่ายสไลต์เมโลดราม่าคลาสสิก
บทภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา และเดินเรื่องเกือบจะเป็นเส้นตรง (มีช่วงตัดสลับเพื่อช่วยเพิ่มจังหวะอารมณ์อยู่บ้างประปราย) ซึ่งทำให้หนังสามารถเข้าถึงคนดูหมู่มากได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการหยิบเอาประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างยาย-หลาน ที่ทุกคนสามารถเอาตัวเองไปสวมทับตัวละครได้ไม่ยากเช่นกัน
หนังอาจสร้างคาแรคเตอร์ตัวละครนำอย่าง “เอ็ม” ให้ออกมาแบบเดียวกันกับตัวละครนำในหนัง GDH ยุคหลัง นั่นคือ ‘มีนิสัยและเป้าหมายแฝงที่ไม่น่ารัก’ และเราสามารถเดาทิศทางของเรื่อง เรื่อยไปจนถึงตอนจบได้อย่างไม่ยากเย็น แต่เมื่อมันค่อยๆถูกผู้กำกับจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งแห่งที่ที่เหมาะที่ควร ผลลัพธ์ที่ได้จึงปรากฏอยู่ในร่องรอยของคราบน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม และดวงตาแดงก่ำ กับขอบตาบวมช้ำจากการถูกใช้งานอย่างหนักตลอดเวลาร่วม 2 ชั่วโมง
พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล หรือ บิวกิ้น ในบท ‘เอ็ม’ ดูเข้ากับบทที่ได้รับอย่างเป็นธรรมชาติ เขาถ่ายทอดพัฒนาการตัวละครตั้งแต่ต้นจนจบออกมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ฝืน และไม่พยายามบีบเค้นอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครมากเกินจำเป็น อาจมีบ้างบางช่วงที่อาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถึงอย่างนั้นในภาพรวมแล้วนับว่านี่เป็นก้าวขึ้นมารับบทนำครั้งแรกในภาพยนตร์ที่น่าประทับใจ
เช่นเดียวกับ อุษา เสมคำ หรือ อาม่าแต๋ว นักแสดงหน้าใหม่แกะกล่องที่ได้รับโอกาสในการก้าวเข้ามารับบทนำครั้งแรกในหนังยาว (อาม่าแต๋ว เคยแสดงหนังสั้นมาก่อนหลายเรื่อง) และทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเอามากๆ อาม่าแต๋ว เสมือนกลายเป็นตัวละคร…
ก่อนอื่นต้องบอกว่าอยากดูเรื่องนี้มานานมากกกก ด้วยกิตติศัพท์มากมายที่เคยได้ยินมา แต่ติดตรงขี้เกียจไปถึงศาลายา ต้องขอบคุณ Bangkok Screening Room จริงๆที่เอามาฉายให้เดินทางไปดูใกล้ๆได้
หนังเริ่มต้นแบบแปลกๆ และช่วงต้นเรื่อง...หรือจริงๆจะว่าไปแล้ว มันมีจุดที่ชวนให้คิดว่า "นี่มันหนังอะไรฟะ!" อยู่ประปรายแทบทั้งเรื่อง แต่เมื่อมองในภาพรวมแล้วกลับพบว่าหนังมีพล็อตที่ล้ำสมัยและเต็มไปด้วยเทคนิคการถ่ายทำที่แพรวพราว ยิ่งเมื่อมองว่านี่คือหนังไทยในยุคแรกๆของการทำหนังยาวจริงๆ และอายุของมันในตอนนี้ก็ปาเข้าไป 63 ปีแล้ว
จุดเด่นอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้ที่เห็นได้ชัดเจนที่ทุกคือ การเป็นหนังที่เล่าเรื่องราวในพื้นที่จำกัดเพียงสถานที่เดียวนั่นคือในโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า "โรงแรมสวรรค์" ที่ไม่ช้าไม่นานการณ์กลับพลิกผันกลายไปเป็นโรงแรมนรกอย่างไม่ทันตั้งตัว
สามตัวละครหลักที่ช่วยกันขับเคลื่อนพล็อตและเรื่องราวให้ไปในทิศทางที่น่าติดตามประกอบไปด้วย "น้อย" (ประจวบ ฤกษ์ยามดี) พนักงานต้อนรับของโรงแรมที่ว่ากันว่ามีดีกรีเป็นถึงแชมป์โลกงัดข้อ และรับหน้าที่ทำเองแทบจะทุกอย่างในโรงแรมแห่งนี้, "ชนะ" (ชนะ ศรีอุบล) ชายหนุ่มเจ้าอารมณ์ที่เป็นผู้เช่าห้องพักเพียงห้องเดียวที่มีอยู่ของโรงแรม และ "เรียม" (ศรินทิพย์ ศิริวรรณ) หญิงสาวลึกลับที่บอกแต่ข้อมูลส่วนตัวซึ่งไร้ความน่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิง
หนังจงใจนำเสนอออกมาในแนวทางความเป็นหนังหลากรส โดยมีส่วนที่เป็นตลกเบาสมอง, โรแทนติกชวนฝัน และอาชญากรรมชิงไหวชิงพริบ โดดเด่นออกมากว่าส่วนอื่น ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนแล้วประสบความสำเร็จในแง่การสร้างอารมณ์ร่วมจากคนดู และการนำไปสู่จุดพลิกผันในตอนท้ายก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งไม่น้อยทีเดียว
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า บทภาพยนตร์เต็มไปด้วยการสร้างสรรค์ตัวละครพระเอก/นางเอกในภาพลักษณ์ที่ต่างออกไปจากพระนางเรื่องอื่นๆของไทย (ไม่เฉพาะแค่ในยุคแรกเท่านั้น แต่อาจหมายรวมมาถึงปัจจุบันได้ด้วย!) นั่นจึงเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ตัวละครเป็นที่น่าจดจำ แม้กระทั่งบทสมทบทั้งหลาย เช่น ลุงผู้ดูแลโรงแรมและเรื่องอาหาร ไปจนถึงบรรดาโจร ที่มักถูกเรียกนำหน้าด้วยคำว่า "เสือ" ทั้ง เสือดิน, เสือสิทธิ์ หรือ เสือไกร หนังฉลาดในการสับขาหลอกไปมาจนเราแทบตามไม่ทันว่าโจรคนไหนกันแน่ที่จะมีบทบาทสำคัญไปจนถึงนาทีสุดท้ายหรือจุดคลี่คลายของเรื่อง
หนังยังมีรอบฉายอีก (น่าจะ) หลายรอบ ที่โรงภาพยนตร์ Bangkok Screening Room ลองเช็ครอบฉายดูได้เป็นรายสัปดาห์ที่เพจของโรงหนังได้เลย แล้วคุณจะได้อีกรสชาติหนึ่งของหนังไทยยุคเก่า ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ซึ่งมาพร้อมกับความบันเทิงชั้นดี