Musical & Jazz Lover 🥂🎷
แอคนี้ชอบเกย์แก่ Especially Pedro Pascal
Favorite films
Recent activity
AllRecent reviews
More-
-
Mickey 17 2025
คะแนนหนังจริง ๆ เราให้ 3.5 แต่เพิ่มมา 0.5 เพราะความไฮป์ + มาร์ค รัฟฟาโล + มีซีนหนึ่งที่เสียดโดนัลด์ ทรัมป์ แบบโต้ง ๆ จนหลุดขำ 5555555
"Mickey 17" เป็นงานของ บอง จุน โฮ ที่น่าจะได้ทุนสร้างมหาศาล จนสามารถสร้างโลกออกมาได้งดงามตั้งแต่ซีนแรกที่เห็น ซึ่งน่าจะเป็นไปอย่างที่คนบอกว่า พอไปโฟกัสกับ Setting ที่อลังการแล้ว หนังก็เลยไม่สามารถลงลึกถึงประเด็นอะไรได้มากนัก — แต่เราดันชอบตรงที่มันเป็น Concept ‘มนุษย์ใช้แล้วทิ้ง’ ซึ่งไอเจ้าตัวคอนเซ็ปท์นี้นี่แหละ ที่มันทำให้หนังสามารถเข้าถึงจิตใจตัวละครที่ถึงมีชีวิตอยู่ก็เจ็บปวดเหมือนปางตายได้เป็นอย่างดี
แล้วก็มันจะมีจุดหนึ่งที่เป็นที่ถกเถียงกันในบางกลุ่มว่า ตัวละครแบนราบเกินไป — เราก็เห็นด้วยในส่วนหนึ่ง ว่าถ้าตัวละครมีมิติมากกว่านี้ หนังอาจจะมี Narrative ที่ชัดมากขึ้น…แต่พอคิดไปคิดมา ก็มองว่ามันคือความเส็งเคร็งของผู้นำบนโลกนี้จริง ๆ ที่จะดำยังไง มันก็ดำจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย, ส่วนประชาชนไม่ว่าจะขาวหรือว่าดำ พวกเขาก็ต้องการเพียงแค่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แค่นั้นเลย
เรื่อง Cinematography อาจจะไม่ได้โดดเด่นเท่างานชิ้นอื่นจนมันสามารถส่อถึงชนชั้นสังคมเพียงแค่มองมันมากนัก — แต่มันจะมี Movement หนึ่งที่เราประทับใจมากเป็นพิเศษ คือ การส่ายกล้องไปมาอย่างรวดเร็ว แบบว่ามันทำให้รู้สึกถึงการมีอยู่ของ Mickey 17 และ Mickey 18 ที่ซ้อนทับกันจริง ๆ …แบบเหมือนเขาพยายามไม่อยากให้คนดูคิดว่า มันเป็นแค่การสลับมุมกล้อง แต่ให้พวกเขาอยู่ในเฟรมเดียวกันไปเลยงี้ ซึ่งมันอเมซิ่งมาก ที่ได้เห็นการแสดงของ Robert ผ่านเฟรมเดียว
อย่างสุดท้ายที่ชอบคืองาน Sound ที่ให้ความรู้สึกเหมือนดนตรีคลาสสิก พอมันมาผนวกทับกับฉากล้ำยุคและการกระทำของตัวละครที่บ้าเกินคน มันทำให้จากมู้ดที่ดูตลกร้าย กลายเป็นความรู้สึกหดหู่ภายในใจ และยากที่จะขำออกมา.แบบว่ามัน Breathtaking เราได้ดีมากจริง ๆ
Translated from by
Popular reviews
More-
Flat Girls 2025
This review may contain spoilers. I can handle the truth.
Act l
เราชอบหนังช่วงแรกมากที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่ความไม่ฟูมฟายของหนัง แต่การเล่าวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในแฟลตตำรวจ ด้วยวิธีการฉายภาพอันแสนเรียบง่าย ทั้งการเล่นแบดมินตันที่ลานระหว่างตึกแฟลต หรือเหล่าเด็ก ๆ เวลาทำกิจกรรมที่สัมผัสได้ถึงความซุกซน เพราะเมื่อผู้ใหญ่ในวัยแบบพวกเรามองเข้าไป บางทีมันก็รู้สึกเสียดายช่วงเวลาวัยเยาว์เหล่านั้น ที่เราไม่สามารถเก็บเกี่ยวและกักตุนความสุขมาใช้ในวัยผู้ใหญ่ได้มากพอ
Act ll
ช่วงแรกของหนัง ที่หนังเริ่มพาตัวละคร 'อาตอง' มาคั่นกลางระหว่าง 'น้องเจน' และ 'พี่แอน' เราว่าทุกอย่างยังสามารถคง Mood and Tone ที่หนังตั้งต้นเอาไว้ในองก์แรกได้อย่างดีงาม — ดูพิเศษขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ เพราะการมีอยู่ของอาตอง ทำให้เส้นเรื่อง "ความฝัน" ของพี่แอนชัดเจนขึ้นมาอีก สำหรับเราอาตองจึงเหมือนเป็นตัวแทนในการช่วยให้เด็ก ๆ ได้ปลดล็อคกุญแจกรงขังที่กักตัวเองเอาไว้ในแฟลตตำรวจมานานแสนนาน ทั้งการสอนให้เด็กได้ขับรถ ไปจนถึงทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ ด้วยกัน อย่างการวิ่งไล่ตามเรือสำราญ…ซึ่งเจ้า 'เรือสำราญ' นี่แหละ นับว่าเป็น Symbolic อีกอย่างหนึ่ง ที่สามารถทำให้คนดูเข้าใจ Message ของหนังได้ โดยที่ไม่ต้องพยายามยัดเส้นเรื่องอันแสนรุงรังหรือบทพูดเบียวทวิตเตอร์เลย — แบบว่าแค่ให้คนดูได้มองด้วยสายตาของตนเอง และสัมผัสมันไปพร้อม ๆ กันกับ แอน เจน และตอง…แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
แต่ทว่าช่วงกลางขององก์สอง หนังเริ่มมาโฟกัสกับประเด็น 'ความรัก' มากขึ้น ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร เพราะการเล่าความรักควบคู่กับความฝัน มันเป็นอะไรที่เบสิคมาก ๆ — แต่การเล่าให้ 'น้องเจน' หึงหวง ‘พี่แอน' ที่ชอบใช้เวลาส่วนตัวไปอยู่กับ 'อาตอง' มันก็ทำให้เราเริ่มได้รับกลิ่นแปลก ๆ บางอย่างออกมาจากตัวภาพยนตร์ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ได้สนใจอะไรมันขนาดนั้น และหันมาใช้ความคิดกับเส้นเรื่องความฝันต่อ…
Translated from by -
Happyend 2024
Love My Friends and My Family
‘Happyend’ ความสุขที่จบลง หรือ จบลงที่ความสุข
ถ้าฉันตอนเป็นเด็ก แน่นอนว่าก็คงอยากเลือก ‘ความสุขชั่วนิรันดร์’ อยู่แล้วแหละ…แต่ไอคำว่า "นิรันดร์" เนี่ย มันมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ด้วยเหรอ ?คือชอบที่หนังเขาเล่าประเด็นเรื่องการเมืองอันอีรุงตุงนัง ผ่านเลนส์ของเด็กที่กำลังเรียนจบ และจะต้องแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย — วินาทีที่เราได้ยินว่า เพื่อนคนสำคัญของเรา จะต้องย้ายไปเรียนต่างถิ่นแดนไกล มันคงเป็นช่วงเวลาโมเมนต์หนึ่ง ที่ทั้งยินดีและขมขื่น อาจเรียกได้ว่าเป็น Coming of Age ครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย…และเมื่อเราเข้าใจมันและสามารถที่จะก้าวข้ามผ่านเส้นกั้นหนา ๆ เส้นนั้นได้แล้ว เราก็คงอยากที่จะลืมตามองโลกความเป็นจริง ณ ตรงหน้า และใช้ช่วงเวลาสุดท้ายอันแสนสั้นให้สนุกที่สุด ก่อนที่จะต้องแยกย้ายจากกันไปเติบโต
แต่ทว่าบนโลกความเป็นจริงนี้ กลับเต็มไปด้วยพวกคนชนชั้นสูงที่มีอุดมคติอันแสนเน่าเฟะ จ้องจะหาแต่โอกาสกดคนชนชั้นกลางอย่างพวกเรา แล้วทีนี้ฉันจะใช้ช่วงเวลาสุดท้ายนี้ให้เต็มที่ได้อย่างไรล่ะ ? …เด็กที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่แม้แต่จะเลือกตั้งแบบฉัน จะสามารถไปขออิสรภาพอะไรจากโลกภายนอกได้ — ใช่ โลกภายนอกมันอาจจะยากที่เด็กอย่างเราต้องหยั่งถึงมัน แต่ถ้าเป็นรั้วโรงเรียนที่เราอยู่หล่ะ ชั้นเชื่อว่าพวกเราทำได้แน่! …งั้นพวกเราเริ่มต้นจากการขออิสรภาพในรั้วโรงเรียนเล็ก ๆ นี้กันก่อนเลยเถอะ !!!
Translated from by