กรณีสีน้ำเงิน
กรณีสีน้ำเงิน | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ แนวรบด้านตะวันออกในสงครามโลกครั้งที่สอง | |||||||
กองทัพเยอรมันในช่วงฤดูร้อน 1942 | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
สหภาพโซเวียต | |||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
กำลัง | |||||||
|
ขั้นต้น: 1,715,000 นาย[6] 1,000,000 นาย(สำรอง) รถถัง 2,959–3,720 คัน[7][6] อากาศยาน 1,671 ลำ[8] ปืนใหญ่ 16,500 กระบอก[6] รวม: 2,715,000 นาย | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
: 200,000 นาย[9] รถถังถูกทำลาย 700 คัน[9] : ไม่ทราบ : ไม่ทราบ |
กรณีสีน้ำเงิน (อังกฤษ: Case Blue; เยอรมัน: Fall Blau) เป็นชื่อแผนการของกองทัพเยอรมันสำหรับการรุกทางยุทธศาสตร์ในช่วงฤดูร้อนของ ค.ศ. 1942 ในพื้นที่ตอนใต้ของรัสเซียระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน ถึงวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1942 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีเป้าหมายคือการยึดครองแหล่งน้ำมันดิบในบากู (ซึ่งอยู่ในดินแดนของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอาเซอร์ไบจาน) กรอซนืย และมัยคอป โดยมีวัตถุประสงค์อยู่สองประการ คือเพื่อให้เยอรมนีสามารถจัดหาและสำรองเชื้อเพลิงได้ ในกรณีที่เชื้อเพลิงนั้นเริ่มขาดแคลน และสามารถปฏิเสธการส่งเชื้อเพลิงไปให้กับสหภาพโซเวียตได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการล่มสลายของสงครามโซเวียตอย่างสมบูรณ์
ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการสืบเนื่องของปฏิบัติการบาร์บาร็อสซาในปีที่แล้ว ด้วยความตั้งใจที่จะโค่นล่มสหภาพโซเวียตออกจากสงคราม มันได้มีความเกี่ยวข้องกับการโจมตีแบบสองง่ามของฝ่ายอักษะ: หนึ่งคือกองทัพปีกขวาจะเข้าโจมตีแหล่งบ่อน้ำมันที่บากู ที่เป็นที่รู้จักกันคือ ปฏิบัติการเอดดัลไวส์ (Operation Edelweiss) และสองคือกองทัพปีกซ้ายจะเคลื่อนทัพตรงเข้าไปสู่เมืองสตาลินกราดตามแนวแม่น้ำวอลกา ที่เป็นที่รู้จักกันคือ ปฏิบัติการฟิชไชเออร์ (Operation Fischreiher)[10]
กองทัพกลุ่มใต้(Heeresgruppe Süd) ของกองทัพบกเยอรมันได้ถูกแบ่งแยกออกมาเป็นกองทัพกลุ่มเอและบี (Heeresgruppe A and B) กองทัพกลุ่มเอได้รับมอบหมายให้ข้ามเทือกเขาคอเคซัสไปยังแหล่งบ่อน้ำมันที่บากู ในขณะที่กองทัพกลุ่มบีจะปกป้องปีกตามแนวแม่น้ำวอลกา ได้รับการสนับสนุนโดยเครื่องบินรบจากลุฟท์วัฟเฟอ 2,035 ลำ และรถถังและปืนใหญ่จู่โจมจำนวน 1,934 คัน ทหารจำนวน 1,370,287 นายของกองทัพกลุ่มใต้ได้เข้าโจมตีเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน รุกไปได้ถึง 48 กิโลเมตรของวันแรกและกวาดล้างอย่างง่ายดายต่อทหารฝ่ายตรงข้ามของกองทัพแดงจำนวน 1,715,000 นายที่คาดการณ์ผิดว่าเยอรมันจะรุกเข้าสู่กรุงมอสโก แม้ภายหลังจากกรณีสีน้ำเงินจะเริ่มขึ้น โซเวียตล่มสลายในทางตอนใต้ทำให้เยอรมันเข้ายึดครองทางด้านตะวันตกของเมืองโวโรเนช เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน และได้มาถึงและก้าวข้ามแม่น้ำดอนใกล้กับเมืองสตาลินกราด เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม การเข้าประชิดเมืองสตาลินกราดของกองทัพกลุ่มบีได้ล่าช้าในปลายเดือนกรกฎาคมและต้นเดือนสิงหาคม เนื่องจากถูกตีโต้กลับอย่างต่อเนื่องโดยกองกำลังสำรองของกองทัพแดงที่เพิ่งจัดทัพขึ้นมาใหม่ๆ และสายส่งเสบียงของเยอรมันที่เกินขีดความสามารถ เยอรมันได้เอาชนะต่อโซเวียตในยุทธการที่คาลัสและการสู้รบที่เปลี่ยนมาเป็นในตัวเมืองในปลายเดือนสิงหาคม การโจมตีทางอากาศอย่างไม่หยุดหย่อนของลุฟท์วัฟเฟอ การยิงปืนใหญ่ และการสู้รบบนถนนต่อถนนทำให้เมืองถูกทำลายอย่างสมบูรณ์และก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างรุนแรงต่อกองกำลังฝ่ายตรงข้าม หลังสามเดือนของการสู้รบ เยอรมันได้เข้าควบคุมเมืองสตาลินกราดเพียง 90% เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน
ในทางตอนใต้ กองทัพกลุ่มเอได้เข้ายึดเมืองรอสตอฟ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม และกวาดล้างทางตอนใต้จากแม่น้ำดอนไปจนถึงเทือกเขาคอเคสัส เข้ายึดครองแหล่งบ่อน้ำมันที่ถูกทำลายที่ไมคอฟ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม และอิลิซตา เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ใกล้กับชายฝั่งทะเลแคสเปียน การต่อต้านอย่างหนักของโซเวียต ปฏิบัติการก่อวินาศกรรมของชาวโปแลนด์ในเขตยึดครองโปแลนด์ และระยะทางไกลจากแหล่งส่งเสบียงของฝ่ายอักษะได้ลดทอนต่อการรุกของฝ่ายอักษะที่เข้าไปในแค่พื้นที่ท้องถิ่นเท่านั้น และขัดขวางไม่ให้เยอรมันเข้าถึงเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ในการเข้ายึดบ่อน้ำมันหลักบนเทือกเขาคอเคซัสที่บากู เครื่องทิ้งระเบิดของจากลุฟท์วัฟเฟอได้ทำลายบ่อน้ำมันที่กรอซนี แต่การโจมตีที่บากูนั้นได้ถูกขัดขวางโดยระยะพิสัยที่ไม่เพียงพอต่อเครื่องบินขับไล่เยอรมัน
ฝ่ายสัมพันธมิตรได้กังวลเกียวกับความเป็นไปได้ที่กองทัพเยอรมันยังดำเนินต่อไปในทางตอนใต้และตะวันออกและเชื่อมโยงกับกองทัพญี่ปุ่น(เมื่อได้เข้ารุกในพม่า)ในอินเดีย อย่างไรก็ตาม กองทัพแดงได้เอาชนะเยอรมันที่เมืองสตาลินกราดด้วยปฏิบัติการยูเรนัสและลิตเติลแซเทิร์น ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ได้บีบบังคับให้ฝ่ายอักษะต้องถอนกำลังออกจากคอเคซัส มีเพียงภูมิภาคคูบานที่ยังคงถูกครอบครองโดยกองกำลังทหารฝ่ายอักษะ[11][12]
หมายเหตุ
[แก้]a ตอนที่ฟ็อน ไคลสท์รับหน้าที่ต่อ กองทัพกลุ่ม อา อยู่ภายใต้คำสั่งโดยตรงของ OKH จากวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1942 ถึง 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1942
b ใช่ว่ารถถังทั้งหมดพร้อมใช้งานในช่วงต้นของการรุก เนื่องจากผ่านการซ่อมแซม การสู้รบ ดัดแปลง หรือไม่ปรากฏในสนามรบ[4]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Holt (2009), p. 47.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 Liedtke 2016, p. 228.
- ↑ Gabor Aron Study Group. "Hungary in the Mirror of the Western World 1938–1958". Archived from the original on 2007-11-09. Retrieved 2008-09-22.
- ↑ 4.0 4.1 Antill (2007), pp. 24–25.
- ↑ Hayward (2001), p. 129.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 Liedtke 2016, p. 230.
- ↑ Antill (2007), p. 29.
- ↑ Bergström 2007, pp. 49–50.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 Mercatante 2012, p. 151.
- ↑ Antill (2007), p. 40.
- ↑ Nipe (2000), p. 33.
- ↑ Antill (2007), pp. 87–88.
บรรณานุกรม
[แก้]- Antill, Peter (2007). Stalingrad 1942. Oxford: Osprey Publishing. ISBN 978-1-84603-028-4.
- Axworthy, Mark (September–October 1999). "Flank Guard: Romania's Advance on Stalingrad, Part Two". Air Enthusiast (65): 72–75. ISSN 0143-5450.
- Axworthy, Mark; Scafes, Cornel; Craciunoiu, Cristian (1995). Third Axis Fourth Ally: Romanian Armed Forces in the European War, 1941–1945. London: Arms & Armour Press. ISBN 1-85409-267-7.
- Beevor, Antony (1999). Stalingrad: The Fateful Siege: 1942–1943. London: Penguin Books. ISBN 0-14-028458-3.
- Bellamy, Chris (2007). Absolute War: Soviet Russia in the Second World War. London: Pan Books. ISBN 978-0-330-48808-2.
- Bergström, Christer (2007). Stalingrad – The Air Battle: November 1942 – February 1943. London: Chevron/Ian Allan. ISBN 978-1-85780-276-4.
- Forczyk, Robert (2021). Stalingrad 1942 – 43 (I): The German Advance to the Volga. Oxford: Osprey. ISBN 978-1-47284-265-7.
- Glantz, David M.; Jonathan M. House (2009). To the Gates of Stalingrad: Soviet-German Combat Operations, April–August 1942. The Stalingrad Trilogy. Vol. I. Lawrence, KS: University Press of Kansas. ISBN 978-0-7006-1630-5.
- Glantz, David M. (1995). When Titans Clashed: How the Red Army Stopped Hitler. Lawrence, KS: University Press of Kansas. ISBN 0-7006-0899-0.
- Hayward, Joel (1995). Too Little Too Late: An Analysis of Hitler's Failure in 1942 to Damage Soviet Oil Production. Lawrence, KS: The Journal of Strategic Studies, Vol. 18, No. 4, pp. 94–135.
- Hayward, Joel (2001). Stopped at Stalingrad: The Luftwaffe and Hitler's Defeat in the East, 1942–1943. Lawrence, KS: University Press of Kansas. ISBN 0-7006-1146-0.
- Holt, David (June 2009). "The Slovak Army: 1939 – 1945 Part 2: The Russian Campaign 1940 – 43" (PDF). Journal of the Czechoslovak Philatelic Society of Great Britain. 27 (2). ISSN 0142-3525. สืบค้นเมื่อ 18 February 2014.
- Javrishvili K., Battle of Caucasus: Case for Georgian Alpinists, Translated by Michael P. Willis, 2017.
- Liddell Hart, Basil Henry (1948). The German Generals Talk. New York: Morrow. ISBN 0688060129.
- Liedtke, Gregory (2016). Enduring the Whirlwind: The German Army and the Russo-German War 1941-1943. Helion and Company. ISBN 978-0-313-39592-5.
- Mercatante, Steven (2012). Why Germany Nearly Won: A New History of the Second World War in Europe. Praeger. ISBN 978-1910777756.
- Nipe, George M. Jr. (2000). Last Victory in Russia: The SS-Panzerkorps and Manstein's Kharkov Counteroffensive—February–March 1943. Atglen, PA: Schiffer Publishing. ISBN 0-7643-1186-7.
- Schramm, Percy Ernst (1963). Kriegstagebuch des Oberkommandos der Wehrmacht, 1940–1945 Teilband II. Bonn: Bernard & Graefe Verlag für Wehrwesen.
- Wegner, Bernd (1990). "Der Krieg gegen die Sowjetunion 1942/1943 [The war against the Soviet Union 1942/43]". ใน Boog, Horst; Rahn, Werner; Stumpf, Reinhard; Wegner, Bernd (บ.ก.). Der globale Krieg: Die Ausweitung zum Weltkrieg und der Wechsel zur Initiative 1941 bis 1943 [The Global War: The expansion of the war into a world war and the change of initiative]. Germany and the Second World War (ภาษาเยอรมัน). Vol. VI. Militärgeschichtliches Forschungsamt. Deutsche Verlags-Anstalt. pp. 761–1094. ISBN 3-421-06233-1.